Memorable message on the occasion of opening the editorial study laboratory, 28 August 20152/9/2015 จากใจบรรณารักษ์-นักเรียนบรรณาธิการ
เมื่อผมสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากประเทศอังกฤษ ปี ๒๕๕๓ ในสาขาวิชาสารนิเทศศึกษา (Information Studies) และกลับมาปฏิบัติงานในภาควิชาบรรณารักษศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์-มหาวิทยาลัย นั้น ผมได้ทราบจากท่านหัวหน้าภาควิชา ณ ขณะนั้น คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์จินดารัตน์ เบอรพันธุ์ ว่าทางฝ่ายวิชาการของคณะร่วมกับภาควิชาได้จัดการสอนหลักสูตรอักษรศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาโทบรรณาธิการศึกษา ขึ้น โดยคัดสรรวิชาในความรับผิดชอบของภาควิชาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ “การทำหนังสือ” มารวมอยู่ในสาขาวิชาโทนี้ ครั้นเมื่อผมดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาบรรณารักษศาสตร์ตั้งแต่ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ผมก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมเล็กๆ น้อยๆ ในกิจกรรมที่สาขาวิชาโทบรรณาธิการศึกษาจัดขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายวิชาวิชาชีพบรรณาธิการ และสัมมนาบรรณาธิการ ตลอดจนโครงการบริการวิชาการของคณะที่เกี่ยวกับงานบรรณาธิการต้นฉบับ เช่น คอยอำนวยความสะดวกในการจัดและประชาสัมพันธ์กิจกรรม กล่าวต้อนรับ กล่าวเปิดงาน มอบรางวัล เป็นต้น การมีส่วนร่วมเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ของผมก็สุดแท้แต่โอกาสที่จะเอื้ออำนวย แต่ทุกครั้งที่ได้เห็นการจัดกิจกรรม ผมก็อดประหลาดใจไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดลูกศิษย์ลูกหาของอาจารย์มกุฏ อรดี ไม่ว่าจะเป็นศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน หรือคนที่ปวารณาตัวขอเป็นศิษย์ จึงให้ความเคารพนับถืออาจารย์มกุฏ และใส่ใจทุ่มเทให้กับการเรียน การจัดและการเข้าร่วมกิจกรรมของวิชาบรรณาธิการศึกษาอย่างอุ่นหนาฝาคั่งทุกครั้ง จนกระทั่งผมได้มีโอกาสเข้ามาเป็น “นักเรียนบรรณาธิการ” ในโครงการอบรมบุคคลทั่วไปเรื่อง “เสวนาบรรณาธิการต้นฉบับ” รุ่นที่ ๑ ตั้งแต่มกราคม-เมษายน ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายก่อนที่ผมจะครบวาระการดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาบรรณารักษศาสตร์ การเข้าอบรมครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งในชีวิตผมต่อจากการสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก เพราะนอกจากความรู้ทางด้านหนังสือและการฝึกฝนในงานบรรณาธิการที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนแล้ว ผมยังได้รับการถ่ายทอดมุมมองและแนวคิดเชิงอุดมคติของอาจารย์มกุฏที่มุ่งมั่นสร้างระบบหนังสือแห่งชาติอย่างเด็ดเดี่ยวและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค จวบจนบัดนี้ก็ยังติดตามข้อคิด-ข้อเขียนของอาจารย์บนเครือข่ายสังคมอยู่ตลอด อ่านเมื่อใดหัวใจก็สูบฉีดพร้อมทำอะไรต่ออะไรเพื่อร่วมกันสร้างระบบหนังสือแห่งชาติตามกำลังและความสามารถของตนเองจะเอื้ออำนวย หลายคนในวงการบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์อาจมองว่า เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับงานห้องสมุดและบริการสารสนเทศสมัยใหม่ แต่สำหรับผมแล้ว ผมกลับคิดว่าผมโชคดีที่ได้มาเป็นนักเรียนบรรณาธิการ เนื่องจากการได้รู้จักและศึกษาวิชาหนังสือทำให้ตระหนักว่า เทคโนโลยีสารสนเทศอาจช่วยให้การนำเสนอสารสนเทศและความรู้มีความรวดเร็ว แม่นยำ และสะดวกดายมากขึ้น แต่จริงๆ แล้ว เนื้อหาสาระ (รวมทั้งหนังสือ) ที่บรรณารักษ์รวบรวม คัดเลือก จัดหา จัดเก็บ และนำมาให้บริการแก่ผู้ใช้นั้นสำคัญยิ่งกว่า เพราะหากเนื้อหาสาระ (รวมทั้งหนังสือ) ที่เราจัดหามามันไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้อง และบิดเบือนความจริง ผู้อ่านหนังสือ/ผู้ใช้ห้องสมุดก็พลอยได้รับ “ยาพิษ” เหล่านี้ไปด้วย ประการสุดท้ายที่ผมเล็งเห็นคุณค่าของวิชาบรรณาธิการศึกษาก็คือ วิชานี้ทำให้ผมนึกถึงคุณลักษณะวิชาชีพของบรรณารักษ์ไทยในสายตาของศาสตราจารย์กิตติคุณสุทธิลักษณ์ อำพันวงศ์ ปูชนียาจารย์ผู้ร่วมก่อตั้งภาควิชาบรรณารักษศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขึ้นมาว่า ประเทศไทยเราควรผลิตบัณฑิตบรรณารักษศาสตร์ให้เป็น “บรรณารักษ์นักเขียน” สำหรับผมแล้ว วิชาที่บรรณารักษ์ควรศึกษาเล่าเรียนเป็นอย่างยิ่งวิชาหนึ่งเพื่อดำรงตนเป็นบรรณารักษ์นักเขียนได้อย่างแท้จริงตามคุณลักษณะนี้ก็คือ วิชาบรรณาธิการศึกษา นั่นเอง การที่คณะอักษรศาสตร์ได้จัดให้มีพิธีเปิด “ห้องเรียนบรรณาธิการศึกษา” อย่างเป็นทางการในวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๘ ในฐานะผู้สอนวิชาบรรณารักษศาสตร์ที่ผ่านการอบรมวิชาหนังสือแม้เพียงเล็กน้อยอย่างตัวผมเองก็รู้สึกปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ ณ บัดนี้ วิชาบรรณาธิการศึกษาหรือวิชาหนังสือจักได้มีห้องปฏิบัติการที่เป็นสถานที่เฉพาะสำหรับเตรียมความพร้อมให้กับนิสิตสาขาวิชาโทบรรณาธิการศึกษา หรือแม้แต่นิสิตสาขาวิชาสารนิเทศศึกษาที่ลงเรียนรายวิชานี้ได้ฝึกฝนทักษะที่จำเป็นก่อนก้าวเข้าสู่วิชาชีพบรรณาธิการ นอกจากนี้ ห้องเรียนบรรณาธิการศึกษายังสามารถเป็นห้องเรียนของผู้ที่ทำงานด้านหนังสืออยู่แล้วแต่ต้องการมาพัฒนาตนเอง ใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมทั้งในเชิงวิชาการและหลักปฏิบัติขั้นสูงต่อไป ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สมศักดิ์ ศรีบริสุทธิ์สกุล ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์ |