![]() Bawden, David, and Robinson, Lyn. Introduction to Information Science. London: Facet Publishing, 2012. Bawden and Robinson’s the latest textbook is a pleasure to read because they depict historic dimensions, philosophical paradigms, basic concepts, theoretical domains, and substantive aspects of information science (s) with such clarity and precision. The key readings and references provided in each chapter, including additional resources at the final section of this book, are noteworthy for delving into further information on the basis of personal interests. Bawden and Robinson’s “Introduction to Information Science” is different from the others in the market because of its emphasis. Since the authors intend to focus on basic principles and theories of information science (s) rather than easily out-of-date issues, this makes their book can be one of the long-lasting key readings used in the information science (s) classroom. ผมเคยอ่านหนังสือประเภท “สารนิเทศศาสตร์เบื้องต้น” และ“บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์เบื้องต้น” ของ Rubin (2010) และ Vickery and Vickery (2004) มาบ้าง สมัยเมื่อครั้งยังทำวิจัยปริญญาเอกที่ Department of Information Studies, University of Sheffield สหราชอาณาจักร 4 ปีก่อน ไม่ใช่อะไรหรอกครับ บ้างครั้งเวลาที่ตนเองกำลังสนใจศึกษาหัวข้อหรือประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสารนิเทศ ผมก็มักจะเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า หัวข้อนั้นๆ มัน “อยู่ตรงส่วนใด” (aspects) ของ “บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์” กันแน่ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเกิดขึ้นของเหตุการณ์เส้นผมบังภูเขา ดังเช่นสำนวนภาษาอังกฤษที่ว่า “Can’t see the wood for the tree” กล่าวคือ ผมเกรงว่าความสนใจในรายละเอียดของหัวข้อของตนเองมากจนเกินไป จะก่อให้เกิดการมองข้ามสิ่งที่เป็น “ภาพรวม” ทั้งหมดที่หัวข้อนั้นๆ ไปสัมพันธ์ด้วย อันตรายเหมือนกันนะครับกับการที่นักวิชาการ/นักวิจัยกระโจนเข้าใส่หัวข้อที่จะทำการศึกษาทันทีโดยปราศจากความรู้และความเข้าใจในศาสตร์ที่ตนเข้าไปสัมพันธ์เกี่ยวข้องด้วย เพราะฉะนั้นตำราจำพวก “สารนิเทศศาสตร์เบื้องต้น” และ“บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์เบื้องต้น” จึงมีความสำคัญในฐานะสื่อการสอนในชั้นเรียนของโรงเรียนบรรณารักษศาสตร์/โรงเรียนสารนิเทศ โดยส่วนตัวแล้ว ผมว่าหนังสือของ Rubin (2010) และ Vickery and Vickery (2004) ต่างก็มีข้อจำกัด ซึ่งชี่อเรื่องแรกนั้นบอกได้เลยว่าเนื้อหาค่อนข้างย่อยยาก และไม่ทิ้งกลิ่นอายของความเป็น “บรรณารักษศาสตร์” ในขณะที่ชื่อเรื่องเล่มสองนั้น ถึงแม้ว่าจะเขียนเน้นหนักไปทาง “สารนิเทศศาสตร์” แต่ก็ค่อนข้างล้าสมัย (เกือบสิบปีแล้ว) แต่ในที่สุดผมก็ได้มีโอกาสอ่านหนังสือร่วมสมัยแนว “สารนิเทศศาสตร์เบื้องต้น” ฉบับล่าสุดที่มีในท้องตลาด (ปี 2012) นั่นก็คือ Bawden, David, and Robinson, Lyn. Introduction to Information Science. London: Facet Publishing, 2012. ซึ่งผมได้ปริทัศน์ นำเสนอ เชิญชวนให้อ่าน พร้อมทั้งแบ่งปันสาระที่ได้รับจากหนังสือให้ผู้ติดตามคอลัมน์นี้ได้รับทราบกัน หนังสือ Introduction to Information Science เล่มนี้ แบ่งออกได้เป็นสี่ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ ส่วนนำ ส่วนประวัติความเป็นมา แนวคิด และทฤษฎี ส่วนขอบเขตเนื้อหาของสารนิเทศศาสตร์ และส่วนอภิปรายพร้อมภาคผนวก ส่วนนำ เป็นการตีพิมพ์บทวิพากษ์ ซึ่งแสดงความคิดเห็นของกูรูในสาขาวิชาสารนิเทศศาสตร์หกคนจากห้าประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา เดนมาร์ก ฝรั่งเศส และสโลวีเนีย ในเชิงของสถานภาพ ขอบเขต และทิศทางของสาขาวิชา โดยส่วนตัวแล้ว ผมค่อนข้างชอบอารัมภท (Forewords) ของ Andrew Dillon จาก School of Information, University of Texas เรื่อง The emerging discipline of information ตรงส่วนที่สรุปคุณสมบัติของการเป็น iSchool อย่างแท้จริง ดังนี้ 1. ไม่มีศาสตร์ใดที่ผูกขาดทฤษฎีและระเบียบวิธีวิจัยเพื่อการศึกษาสารนิเทศแต่เพียงศาสตร์เดียว คณาจารย์ในโรงเรียนสารนิเทศต้องมาจากสาขาวิชาต่างๆ ที่หลากหลาย และพร้อมที่จะร่วมกันศึกษาสารนิเทศแบบบูรณาการ 2. ทำความเข้าใจในตัวสารนิเทศที่สื่อสารผ่านเทคโนโลยีไปยังผู้ใช้สารนิเทศ โดยไม่จำกัดบริบทแวดล้อมว่าต้องอยู่แต่เฉพาะภายในห้องสมุด หอจดหมายเหตุ พิพิธภันฑ์ ฯลฯ เท่านั้น 3. ทำวิจัยเพื่อแสวงหาคำตอบที่เกี่ยวข้องกับสารนิเทศให้ครอบคลุมทุกแง่ทุกมุมของมนุษย์ในฐานะผู้ใช้สารนิเทศ Andrew Dillon เห็นว่า ข้อ 2 นั้นยากที่สุดสำหรับสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนในสาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์แบบดั้งเดิม (ซึ่งก็รวมถึงภาควิชาบรรณารักษศาสตร์ จุฬาฯ ด้วยเช่นกัน ที่ยังต้องเดินทางอีกยาวไกล กว่าจะมีคุณสมบัติของการเป็น iSchool ครบถ้วน) ส่วนประวัติความเป็นมา แนวคิด และทฤษฎี ประกอบด้วยห้าบทเรียงตามลำดับ ได้แก่ บทที่ 1 สารนิเทศศาสตร์ที่ดำรงความเป็นสาขาวิชาและความเป็นวิชาชีพ บทที่ 2 พัฒนาการของสารนิเทศ บทที่ 3 ปรัชญาและกระบวนทัศน์ของสารนิเทศศาสตร์ บทที่ 4 แนวคิดพื้นฐานของสารนิเทศศาสตร์ บทที่ 5 การวิเคราะห์ขอบเขตเนื้อหา (Domain analysis) ในสารนิเทศศาสตร์ ส่วนขอบเขตเนื้อหาของสารนิเทศศาสตร์ แบ่งย่อยออกเป็นแปดบท ซึ่งถือว่าเป็นการอธิบายขยายความต่อจากบทที่ 5 ว่ารายละเอียดในแต่ละขอบเขตเนื้อหาของสารนิเทศศาสตร์ที่นักวิชาการ/นักวิจัยในศาสตร์นี้มุ่งศึกษามีอะไรบ้าง ดังนี้ บทที่ 6 การจัดระบบสารนิเทศ บทที่ 7 เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสร้าง เผยแพร่ และค้นคืนสารนิเทศ บทที่ 8 มาตรวัดสารนิเทศ (Infometrics) บทที่ 9 พฤติกรรมสารนิเทศ บทที่ 10 การสื่อสารสารนิเทศ บทที่ 11 สังคมสารนิเทศ บทที่ 12 การจัดการและนโยบายสารนิเทศ บทที่ 13 การรู้สารนิเทศในยุคดิจิทัล (Digital literacy) ส่วนอภิปรายพร้อมภาคผนวก ส่วนสุดท้ายนี้ประกอบด้วยสองบทกับอีกหนึ่งภาคผนวก คือ บทที่ 14 การวิจัยในสารนิเทศศาสตร์ บทที่ 15 อนาคตของสารนิเทศศาสตร์ ภาคผนวกรวมรายชื่อทรัพยากรแนะนำเพื่อการค้นคว้าเพิ่มเติม (ตำราเรียน วารสาร สาระสังเขปและดรรชนี และแหล่งอ้างอิง) สำหรับผมแล้ว การเขียนหนังสือให้มีเนื้อหาที่ให้ภาพกว้างๆ แต่ต้องครอบคลุมหัวใจสำคัญของสารนิเทศศาสตร์นั้น ต้องใช้ความสามารถและความพยายามเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งหนังสือ Introduction to Information Science ของ David Bawden และ Lyn Robinson เรียบเรียงเนื้อดังกล่าวออกมาได้เป็นอย่างดี ย่อยง่าย เพราะแต่ละบทมีการวาง outline ที่เป็นระบบ โดยขึ้นต้นบทด้วยบทนำ ตามด้วยเนื้อหา ตามด้วยบทสรุป ตามด้วยแหล่งค้นคว้าหลัก (Key readings) และปิดท้ายด้วยรายการอ้างอิง เป็นอย่างนี้ทุกบท ทำให้ผู้อ่านสามารถเลือกอ่านและติดตามเนื้อหาได้โดยสะดวกและง่ายดาย อีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นจุดเด่นที่ช่วยผู้อ่านในการจับประเด็นสำคัญที่ยุ่งยากซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือ ผู้แต่งได้มีการทำสรุปย่อประเด็นสำคัญในรูปแบบของ Summary boxes และสอดแทรกภาพประกอบให้เห็นเป็นระยะๆ เมื่อกระโดดไปอ่านบทสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้ที่ว่าด้วยอนาคตของสารนิเทศศาสตร์ เพื่อมองหาข้อคิดเห็น (ส่วนตัว) ของผู้แต่งหนังสือทั้งสองท่าน ทันทีที่อ่านจบ ผมก็ยิ้มออกมาด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความหวังว่า สารนิเทศศาสตร์ (รวมถึงบรรณารักษศาสตร์ด้วย) จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญทั้งสองท่านนั้น ยังมีอนาคตที่สดใส แม้ว่าอาจคาดเดาได้ยากว่าความเปลี่ยนแปลงในองค์ความรู้ของสาขาวิชานี้จะเป็นเช่นไรต่อไป ความท้าทายของนักวิชาการ/นักวิจัยในสารนิเทศศาสตร์จึงมิใช่เป็นการพยายามที่จะทำให้ประเด็นสำคัญทั้งหลายซึ่งเกี่ยวข้องกับการศึกษาสารนิเทศเข้ามารวมอยู่ใน หรืออ้างว่าเป็นของสาขาวิชา “สารนิเทศศาสตร์” แต่โจทย์ที่ท้าทายตามความเห็นของ David Bawden และ Lyn Robinson ที่จำเป็นยิ่งกว่าก็คือ ทำอย่างไรจึงจะทำให้ความสำคัญของสารนิเทศศาสตร์เป็นที่ตระหนัก ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง รวมถึงถูกนำไปปรับใช้ได้ในทุกบริบทที่มีการใช้สารนิเทศเกิดขึ้น รายการอ้างอิง Rubin, Richard E. (2010). Foundations of Library and Information Science. 3rd ed. New York: Neal-Schuman. Vickery, Brian, C. and Vickery, A. (2004). Information Science in Theory and Practice. 3rd ed. Munich: K.G. Saur.
0 Comments
|
Archives
October 2015
Categories
All
|