การพูดถึงบทบาทของบรรณารักษ์และหน้าที่ของห้องสมุดที่เปลี่ยนแปลงไปบ่อยๆ อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้สาธารณชนส่วนใหญ่รับรู้ เข้าใจ และตระหนักถึงคุณค่าของวิชาชีพนี้ ตลอดจนความคุ้มค่าของห้องสมุด/บริการข้อมูลสารสนเทศในยุคดิจิทัล ได้มากเท่าใดนัก
0 Comments
Bozarth, Jane. Show Your Work: The Payoffs and How-To’s of Working Out Loud. San Francisco, CA: John Wiley & Sons, 2014. ISBN: 9781118863626; 186 p.
หากลองคิดย้อนกลับไปว่าผู้วิจารณ์ได้เคยอ่านหนังสือภาษาอังกฤษทางด้านการจัดการความรู้ (Knowledge Management) อะไรมาแล้วบ้าง ที่นำเสนอเนื้อหาสาระเชิงวิชาการซึ่งเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์/สารสนเทศศึกษา และสามารถนำมาใช้เป็นตัวอย่างหรือกรณีศึกษาที่เข้ากันได้กับบริบทในงานห้องสมุดและสารสนเทศ เท่าที่นึกออกก็มีอยู่หลายเล่มด้วยกัน แต่ที่นำมาใช้เป็นหนังสืออ่านประกอบในรายวิชาการจัดการความรู้สำหรับนิสิตระดับปริญญาตรีและปริญญาโทอยู่บ่อยครั้งมีด้วยกัน 3 ชื่อเรื่อง เล่มแรก คือ Knowledge Management: Cultivating Knowledge Professionals เขียนโดย Suliman Al-Hawamdeh (2003) ศาสตราจารย์สาขาการจัดการความรู้ แห่ง Oklahoma University ซึ่งปัจจุบันสอนอยู่ที่ University of North Texas ประเทศสหรัฐอเมริกา นับเป็นหนังสือยุคต้นๆ ที่ผู้เขียนได้เรียบเรียงเนื้อหาด้านการจัดการความรู้อย่างพอเหมาะพอดี เข้ากันได้กับบริบทของวิชาชีพห้องสมุดและสารสนเทศ พร้อมทั้งแนะนำให้ผู้อ่านที่อยู่ในวงการห้องสมุดและสารสนเทศรู้จักกับศัพท์เฉพาะใหม่ๆ หลายคำ เช่น เศรษฐกิจความรู้ (Knowledge economy) ทุนปัญญา (Intellectual capital) ชุมชนนักปฏิบัติ (Community of practice) องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning organization) เป็นต้น ประเด็นหลักที่อภิปรายในหนังสือเล่มนี้ส่วนใหญ่เน้นหนักไปที่ข้อมูลพื้นฐานเพื่อสร้างความเข้าใจในหลักการด้านการจัดการความรู้ จึงเหมาะกับนิสิต/นักศึกษาที่กำลังเรียนวิชาการจัดการความรู้เบื้องต้นมากกว่าผู้อ่านที่ประกอบวิชาชีพห้องสมุดและสารสนเทศ เล่มที่สองเป็นตำราเรียนชื่อว่า Knowledge Management เขียนโดย Shelda Debowski (2006) แม้ว่าผู้เขียนตำราเล่มนี้จะตั้งใจเรียบเรียงเนื้อหาความรู้ทางด้านการจัดการความรู้โดยมุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ (Strategic Management) ในองค์กรเป็นหลักก็ตาม แต่ด้วยความที่ Debowski มีภูมิหลังและประสบการณ์มายาวนานในวิชาชีพบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์จากการรับเป็นที่ปรึกษาให้กับหน่วยงานบริการสารสนเทศหลายแห่งในประเทศออสเตรเลีย จึงทำให้วิธีการนำเสนอแนวคิด/ทฤษฎี คำอธิบาย และการใช้คำศัพท์เทคนิคต่างๆ นั้น สามารถสื่อสารออกมาในโทนของความเป็นบรรณารักษ์ (Librarianship) ได้อย่างชัดเจน สำหรับเล่มที่สามเป็นงานเขียนของ Kimiz Dalkir (2011) รองศาสตราจารย์ประจำ Graduate School of Information and Library Studies แห่ง McGill University ประเทศแคนาดา ชื่อเรื่องว่า Knowledge Management in Theory and Practice ในตำราเล่มนี้แม้ว่าจะมีการสอดแทรกแนวปฏิบัติตามวงจรของการจัดการความรู้เริ่มตั้งแต่การจับสาระและถอดรหัสความรู้ (Knowledge capture and codification) ไปจนถึงการจัดทำและดำเนินกลยุทธ์ด้านการจัดการความรู้ แต่วิธีการเรียบเรียงบทเรียนทั้ง 14 บทก็ไม่ได้แตกต่างไปจากหนังสือของ Debowski (2006) มากนัก กล่าวคือผู้เขียนยังมุ่งเน้นไปที่แนวคิด/ทฤษฎี คำอธิบาย ตลอดจนประเด็นอภิปรายในเชิงวิชาการ มากกว่าการขยายรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับหลักปฏิบัติในองค์กรที่ใช้เป็นกรณีศึกษาซึ่งผู้อ่านสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง การที่ผู้วิจารณ์ยกตัวอย่างหนังสือด้านการจัดการความรู้ทั้ง 3 ชื่อเรื่องดังกล่าวข้างต้น ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า หนังสือที่ผลิตออกสู่สายตาผู้อ่านโดยนักวิชาการสาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์/สารสนเทศศึกษาที่มีอยู่ในขณะนี้ ส่วนมากมักเป็นหนังสือวิชาการที่ใช้เพื่อการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย ขณะที่จำนวนหนังสือที่อธิบายวิธีการจัดการความรู้ (How-to books) สำหรับกลุ่มนักอ่านที่ปฏิบัติงานอยู่ตามองค์กรต่างๆ หรือผู้ประกอบวิชาชีพยังมีอยู่ไม่มากนัก ซึ่งความจริงแล้วสัดส่วนระหว่างจำนวนหนังสือวิชาการกับจำนวนหนังสือที่อธิบายวิธีการ เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างวงการบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์/สารสนเทศศึกษากับวงการอื่นอย่างสาขาวิชาวิทยาการจัดการ (Management sciences) ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันเท่าไรนัก เพราะหนังสือที่เน้นการนำเสนอแนวปฏิบัติที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริงสำหรับองค์กรภาคธุรกิจก็หาได้ค่อนข้างยากในตลาดหนังสือเช่นเดียวกัน โดยส่วนตัวของผู้วิจารณ์เองแล้วชื่นชอบหนังสือชื่อ Learning to Fly: Practical Knowledge Management from Leading and Learning Organizations แต่งโดย Chris Collison and Geoff Parcell (2004) มากเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราว ข้อเท็จจริง พร้อมแนวทางปฏิบัติด้านการจัดการความรู้ที่เกิดขึ้นในบริษัทเครือ British Petroleum (BP) ผ่านมุมมองและประสบการณ์ตรงของผู้แต่งทั้งสอง ที่ได้ดำเนินกิจกรรมและนำเครื่องมือเพื่อการจัดการความรู้ประเภทต่างๆ มาใช้ใน BP รวมถึงในองค์กรธุรกิจประเภทอื่นด้วย ตัวอย่างของเครื่องมือก็เช่น การประเมินตนเอง การเรียนรู้จากเพื่อนร่วมงาน (Learning from peers) การเรียนรู้ขณะลงมือทำ (Learning whilst doing) การเรียนรู้หลังเสร็จสิ้นภารกิจ (Learning after doing) แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าหนังสือที่เขียนออกมาในลักษณะของการอธิบาย “วิธีการ” จัดการความรู้ตามแบบฉบับของ Collison and Parcell (2004) นั้นมีจำนวนไม่มากนัก จนกระทั่ง 10 ปีผ่านไป ในที่สุดหนังสือในแนวที่ผู้วิจารณ์รอคอยก็ปรากฏขึ้นในวงวรรณกรรม นั่นก็คือหนังสือของ Jane Bozarth (2014) ชื่อเรื่องว่า Show Your Work: The Payoffs and How-To’s of Working Out Loud David Skryme (2013) อดีตที่ปรึกษาด้านการจัดการความรู้ให้แก่บริษัทชั้นนำของโลกหลายแห่ง ได้แบ่งพัฒนาการในการจัดการสารสนเทศและความรู้ออกเป็น 7 ยุค ได้แก่ ยุคที่ 1 ช่วงระหว่างทศวรรษ 1970-1992: การก่อตั้งสาขาวิชาเพื่อศึกษาการจัดการทรัพยากรสารสนเทศ (Information resource management) ในองค์กรขึ้นมาโดยเฉพาะ; ยุคที่ 2 ตั้งแต่ปี 1995-1997: การทดลองนำแนวคิดด้านการจัดการความรู้มาใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยความรู้อย่างมาก เช่น อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ เคมีภัณฑ์ ยา เทคโนโลยีขั้นสูง ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการ ฯลฯ; ยุคที่ 3 ปี 1997-1998: การตามกระแสและเปลี่ยนชื่อ (Bandwagon and relabeling) เป็นช่วงเวลาที่บริษัทหลายแห่งริเริ่มโครงการต่างๆ ที่มีคำว่า “การจัดการความรู้” ปรากฏอยู่ในชื่อของโครงการ และเป็นยุคที่บริษัทซอฟต์แวร์ต่างพากันเปลี่ยนชื่อผลิตภัณฑ์ของตนเองจากซอฟต์แวร์อินทราเน็ตสำหรับสถานประกอบการ (Enterprise intranet software) มาเป็น “KM solutions”; ยุคที่ 4 ระหว่าง 1998-2002: การแยกส่วนและความเหนียวแน่น (Segmentation and consolidation) แนวคิดการจัดการสารสนเทศและความรู้แผ่ขยายออกไปหลายทิศทาง ทุกวงการ ทุกภาคส่วน และทุกอุตสาหกรรม จากประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศในทวีปยุโรปสู่ประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชีย ขณะเดียวกันก็มีการเรียนการสอนในหลักสูตรต่างๆ ทางด้านการจัดการความรู้ในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เครื่องมือ/เทคนิคในการจัดการความรู้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และถูกนำไปใช้ในงานประจำ; ยุคที่ 5 ปี 2003-2005: ทบทวนอดีตเพื่อมุ่งสู่อนาคต สาขาวิชาการจัดการความรู้ยังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่กระแสความนิยมในหน่วยงานต่างๆ เริ่มลดน้อยถอยลง มีการสำรวจเก็บข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาแนวทางที่จะทำให้การจัดการความรู้เข้ากันได้กับบริบทของธุรกิจในวงกว้าง; และยุคที่ 6 ตั้งแต่ 2005-2012: การจัดการสารสนเทศและความรู้ 2.0 ซึ่งแปรเปลี่ยนไปตามความเจริญเติบโตของสื่อสังคม เช่น บล็อก วิกิ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ลิ๊งธ์อิน ฯลฯ หนังสือของ Bozarth (2014) ที่นำมาแนะนำนี้ได้สะท้อนให้ผู้อ่านเข้าใจและมองเห็นพัฒนาการขององค์ความรู้และแนวปฏิบัติด้านการจัดการความรู้ที่ได้ก้าวเข้าสู่ยุคที่ 6 (ระหว่างปี 2005-2012) ของการจัดการสารสนเทศและความรู้เชิงสังคมและอารมณ์อย่างเต็มรูปแบบ กล่าวคือ ผู้ปฏิบัติงานที่ต้องอาศัยความรู้อย่างเข้มข้นในการสร้างสรรค์ ออกแบบ และนำเสนอผลิตภัณฑ์/บริการต่างมีพื้นที่ในการสื่อสารรวมทั้งแลกเปลี่ยนข้อมูล สารสนเทศ และความรู้ ตลอดจนเผยแพร่ความเชี่ยวชาญของตนเองได้อย่างกว้างขวางและหลากหลายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อันเนื่องมาจากอิทธิพลของสื่อสังคมออนไลน์ อาทิ บล็อก วิกิ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ลิ๊งธ์อิน ยูทูป พินเทรสต์ (Pinterest) อินสตาแกรม เป็นต้น ที่เอื้อให้ผู้ใช้สื่อเหล่านี้มีเวทีสำหรับการรับ ส่งผ่าน และมีปฏิสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ร่วมกัน (Social intelligence) ระหว่างสมาชิกในชุมชนออนไลน์ได้อย่างไร้ขีดจำกัดทั้งทางด้านเวลาและสถานที่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งนับว่า Jane Bozarth ผู้แต่งหนังสือ Show Your Work: The Payoffs and How-To’s of Working Out Loud อธิบายการจัดการความรู้เชิงสังคมและอารมณ์ในยุคที่มีการใช้สื่อสังคมอย่างแพร่หลายได้อย่างละเอียด จนผู้อ่านสามารถมองเห็นภาพชัดเจน และอาจพิจารณานำแนวคิดของ “การทำงานให้ดัง” (Working Out Loud) ที่ปรากฏในเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ไปปรับใช้ได้จริงตามบริบทของแต่ละองค์กรหรือหน่วยงานนั้นๆ อันที่จริงผู้เขียนหนังสือไม่ได้ต้องการกำหนดตายตัวว่าแนวคิดการทำงานให้ดังควรมีคำเรียกทางการว่าอะไร โดยหลายคนอาจจะเรียกว่าเป็นการทำงานให้ประจักษ์ (Making work visible) การทำงานให้สามารถค้นพบได้ (Making work discoverable) หรือแม้แต่การพรรณนางาน (Narrating work) ก็ได้ สำหรับวิธีการทำงานให้ดัง นั้น อาจครอบคลุมทั้งการเขียน การพูดคุย การวาดภาพ การถ่ายภาพ และอื่นๆ สุดแท้แต่ผู้ปฏิบัติงานจะเลือกใช้ตามความต้องการและเหมาะสมของตน โดยเน้นหลักการว่า “การสื่อสารต้องมาก่อนสารสนเทศ การสนทนาอยู่เหนือเครื่องมือใดๆ” เพื่อให้บุคลากรที่ใช้สารสนเทศและความรู้ในการทำงานได้แสดงผลงาน-แบ่งปันความรู้สู่ผู้อื่นจนเกิดการต่อยอดทางความคิดออกไปไม่สิ้นสุด ในหนังสือของ Jane Bozarth เล่มนี้แบ่งเนื้อหาออกเป็น 7 ตอน ได้แก่ 1) บทนำ เป็นการอธิบายความหมายของแนวคิด ‘Show your work’ หรือการทำงานให้ดัง ความสำคัญ-ความจำเป็นของแนวคิดดังกล่าว รวมถึงปัญหาในการถอดรหัสความรู้แบบเดิมที่เน้นการจัดการความรู้แบบ “ของใครของมัน” (Silos) และแนวคิดการทำงานให้ดังจะนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ได้อย่างไรบ้าง 2) ประโยชน์ต่อองค์กร ตอนที่สองของหนังสือเน้นไปที่การทำให้ผู้อ่านเห็นประโยชน์ที่องค์กรโดยรวมจะได้รับจากการทำงานให้ดัง เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การทลายกับดักของการสื่อสารภายในองค์กรที่แต่เดิมเน้นแค่เพียงการจดบันทึกในสิ่งที่ทำเท่านั้นแต่มีการแบ่งปันความรู้ระหว่างบุคลากรน้อยมาก การส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้จากข้อผิดพลาด การสงวนรักษาความรู้ขององค์กร การปรับปรุงการรับรู้และการตระหนักรู้ในงานและความอุตสาหะของบุคลากรในองค์กร เป็นต้น 3) ประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติงาน เนื้อหาในตอนที่สามเป็นการอธิบายพร้อมยกตัวอย่างจริงเกี่ยวกับประโยชน์ที่บุคลากรแต่ละคนจะได้รับจากการแสดงผลงานของตนเองผ่านหลักปฏิบัติเชิงทบทวน (Reflective practice) ถึงสิ่งที่ลงมือทำจริงในวันหนึ่งๆ ซึ่งการทำเช่นนี้นับเป็นการเรียนรู้แบบต่อเนื่องที่ก่อประโยชน์หลายด้าน อาทิ การสร้างความน่าเชื่อถือ/ความเชี่ยวชาญ การยกระดับประวัติการทำงานของตนเอง (Profile) การปรับปรุงผลการปฏิบัติงาน การสร้างบทสนทนาระหว่างผู้ร่วมอาชีพ การได้รับความช่วยเหลือ/ประหยัดเวลา/หลีกเลี่ยงการทำซ้ำ การสร้างแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) อย่างสร้างสรรค์และดึงดูดใจ เป็นต้น สำหรับส่วนสุดท้ายของตอนที่สามนี้มีแบบฝึกหัดจำนวน 3 ชุดให้ผู้อ่านได้ตอบคำถาม คิดทบทวน และกระตุ้นต่อมความคิดเพื่อหาหนทางแสดงผลงานของตนเองที่สอดคล้องกับกระแสงานจริง (Work flow) 4) นิยามความรู้และเหตุผลที่นำมาแบ่งปันกัน เนื้อหาของตอนที่สี่ค่อนข้างสั้นแต่เข้มข้นจริงจังกว่าตอนอื่นๆ โดย Jane Bozarth แบ่งความรู้ที่เกิดจากการทำงานออกเป็น 3 ประเภท คือ ความรู้ที่มีการบันทึกและจัดเก็บ (Codified, stored knowledge) ในองค์กร ความรู้ที่มีอยู่ในตัวผู้เชี่ยวชาญซึ่งต้องอาศัยความสนใจส่วนตัว มาตรการลงโทษ และการให้รางวัลจึงจะก่อให้เกิดการแบ่งปันความรู้ประเภทนี้ได้ และสุดท้ายคือ ความรู้ที่ฝังตัวอยู่ในชุมชน นิสัย งานประจำ ตลอดจนภาษาและเรื่องราวที่แบ่งปันผ่านการทำงานร่วมกัน ซึ่งผู้แต่งเองให้ความสำคัญกับความรู้ประเภทสุดท้ายนี้ค่อนข้างมาก นอกจากนี้ยังได้ยกเหตุผลและข้อดีของการแบ่งปันความรู้หลายประการจากเอกสารอ้างอิงเพื่อจูงใจให้ผู้อ่านเห็นคล้อยตาม 5) ตัวอย่างการทำงานให้ดัง จัดเป็นตอนที่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้เห็นตัวอย่างจริงของการทำงานให้ดัง โดยอาศัยการพรรณนางานในรูปแบบต่างๆ ผ่านเครือข่ายสังคม ตัวอย่างการทำงานที่นำเสนอมีความหลากหลายและน่าสนใจอย่างมาก เช่น การตกแต่งต้นไม้ การผ่าตัด การอบคุ้กกี้ การผลิตวิดีโอแอนิเมชั่น งานแพทย์อาสา การออกแบบ โมบายแอพพลิเคชั่น งานสร้างสรรค์ทางศิลปะ เป็นต้น สิ่งที่น่าชื่นชมสำหรับเนื้อหาในตอนที่ 5 ก็คือ การยกตัวอย่างพร้อมภาพประกอบที่สื่อสารออกมาได้ชัดเจน เข้าใจง่าย สีสันสวยงาม และดึงดูดใจ รวมถึงมีการสอดแทรกข้อความเพื่อสรุปใจความสำคัญของการทำงานปรากฏอยู่ในส่วนต่างๆ ของหนังสือ ความพยายามของผู้เขียนที่นำเสนอออกมาเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของ Jane Bozarth ในการสื่อสารด้วยภาพ (Visualization) อย่างแท้จริง 6) การเรียนรู้และการพัฒนา เนื้อหาในตอนที่ 6 ของหนังสือดูจะเกี่ยวข้องกับนักวิชาชีพห้องสมุดและสารสนเทศ มากที่สุด เนื่องจากบทบาทหน้าที่ประการสำคัญของผู้ประกอบวิชาชีพนี้ในปัจจุบัน คือ การช่วยให้ผู้ที่ต้องการสารสนเทศและความรู้ได้เข้าถึง เผยแพร่ และหาสารสนเทศเจอ ซึ่งถือว่าเป็นการส่งเสริมให้กลุ่มผู้ใช้เหล่านี้ได้แสดงผลงานของตนนั่นเอง อย่างไรก็ตาม หนทางในการแสดงให้เห็นว่าผู้ปฏิบัติงานด้านการฝึกอบรม (หมายรวมถึงวิชาชีพห้องสมุดและสารสนเทศด้วย) จะสามารถทำอะไรเพื่อเอื้อให้เกิดการทำงานให้ดังทั่วทั้งองค์กรได้บ้าง ตลอดจนการก้าวมาเป็นผู้นำแห่งการทำงานให้เป็นที่ประจักษ์นั้น นับเป็นความท้าทายอย่างที่สุดสำหรับคนในวิชาชีพนี้ 7) เคล็ดลับการทำงานให้ดัง Jane Bozarth สรุปตอนสุดท้ายของหนังสือด้วยการนำเสนอเคล็ดลับต่างๆ สำหรับผู้จัดการ นักฝึกอบรม ผู้ปฏิบัติงาน และบุคคลทั่วไปจะได้นำไปประยุกต์ใช้เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อันจะนำไปสู่ก้าวแรกของการปฏิบัติ ก้าวแรกเพื่อเป็นแบบอย่าง และผู้บุกเบิกสู่การทำงานให้ดังภายในองค์กร ตัวอย่างเคล็ดลับที่น่าสนใจ เช่น การกำหนดคำเรียก แพลตฟอร์ม (Platforms) เทมเพลต (Templates) และรูปแบบที่ทุกคนเข้าใจตรงกัน การลดความซับซ้อนของกระบวนการทำงานให้ดัง การสร้างค่านิยมทำสิ่งต่างๆ ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณะ (Making things public) การเลือกเครื่องมือและกลยุทธ์ในการแสดงผลงานมาใช้อย่างเหมาะสม (โปรแกรมนำเสนอ ภาพถ่าย วิดีโอ ฯลฯ) เป็นต้น กรณีที่ผู้อ่านคนใดสนใจนำแนวคิดการทำงานให้ดังมาปรับใช้จริงในองค์กรของตนเอง ผู้วิจารณ์ขอแนะนำให้เริ่มจากการลองทำแบบประเมินความพร้อมของวัฒนธรรมองค์กรและภาวะผู้นำด้านการเปิดรับ (Openness audit) ในหน้า 169-172 เสียก่อน เพื่อทราบจุดอ่อน-จุดแข็งขององค์กรก่อนริเริ่มดำเนินการใดๆ ต่อไป แบบประเมินนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การแบ่งปันสารสนเทศ และกระบวนการตัดสินใจ ในส่วนแรกนั้นประกอบด้วย 6 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ การประเมินด้านการอธิบายสร้างความเข้าใจ การปรับปรุงเทคโนโลยีและกระบวนการให้ทันสมัย การสร้างบรรยากาศแห่งการสนทนา ช่องทางการสื่อสาร แหล่งรวมความรู้ร่วมกัน (Crowdsourcing) และแพลตฟอร์มต่างๆ สำหรับส่วนที่สองเป็นการประเมินประเภทของการตัดสินใจจำแนกออกเป็น 7 ประเภท ได้แก่ การจัดหา การร่วมทุน การสร้างตราสินค้า/กำหนดตำแหน่งทางการตลาด (Positioning) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การงบประมาณ การออกแบบกระแสงาน และการจ้างงาน หากชั้นหนังสือของท่านเต็มไปด้วยตำราเรียนและหนังสือวิชาการที่เน้นหนักทฤษฎี โมเดล กรอบแนวคิด และหลักการทั่วไปด้านการจัดการความรู้อยู่เป็นจำนวนมากแล้ว (Know-what) และกำลังมองหาหนังสือที่อธิบายพร้อมกับนำเสนอวิธีการ/แนวปฏิบัติที่นำไปใช้ได้จริง (Know-how) ในชีวิตและการทำงานที่เข้ากันกับยุคแห่งการเติบโตของสื่อสังคมบนโลกออนไลน์ หนังสือ Show Your Work: The Payoffs and How-To’s of Working Out Loud เล่มนี้ เป็นอีกชื่อเรื่องหนึ่งที่นักจัดการความรู้ทุกระดับในองค์กรไม่ควรพลาด รายการอ้างอิง Al-Hawamdeh, S. (2003). Knowledge management: cultivating knowledge professionals (1st ed). Oxford: Chandos Publishing. Bozarth, J. (2014). Show Your Work (1 edition). San Francisco, CA: John Wiley & Sons. Collison, C., & Parcell, G. (2004). Learning to fly: practical knowledge management from some of the world’s leading learning organizations (Updated edition). Oxford: Capstone. Dalkir, K. (2011). Knowledge management in theory and practice (2nd ed). Cambridge, Mass: The MIT Press. Debowski, S. (2006). Knowledge management. Sydney: Wiley. David J Skyrme. (2004). The Seven Ages of Information & Knowledge Management: What Have We (Not) Learned? Available from www.skyrme.com/kmarticles/7ikm.pdf |
Archives
October 2015
Categories
All
|