พันธกิจใหม่ของบรรณารักษ์ในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง (New mission of librarians in the changing world)27/2/2013 Lankes, R. David. The Atlas of New Librarianship. Cambridge: The MIT Press, 2011. This post gives you some selected ideas of the mission thread. It also includes the conversation theory and other relevant concepts, e.g. dialectic theories and sense-making, that influence library and information professionals to re-think their roles as a moderator as well as a facilitators enabling users in communities to create knowledge. According to Lankes's participatory research, the librarians' responsibilities have to be changed from dealing with collections to making groups of people have knowledge-generated conversations. แนวคิดหลักต่างๆ ที่ R. David Lankes ผู้แต่งหนังสือ The Atlas of New Librarianship เล่มนี้ นำมาใช้ในการเรียบเรียงเนื้อหา ได้มาจากการตระเวนเก็บรวมรวมข้อมูลยังสถานที่ต่างๆ กว่า 29 แห่งใน 3 ทวีป (แต่ไม่ทราบว่าทวีปใดบ้าง เพราะผู้แต่งไม่ได้ระบุไว้) เพื่อพบปะ พูดคุย สนทนา และสัมภาษณ์บรรณารักษ์ ตลอดจนนักวิชาการจากโรงเรียนบรรณารักษ์ 14 แห่ง ร่วมหลายร้อยคน นอกจากนี้ยังได้ประมวลความคิดและสังเคราะห์เนื้อหาที่ได้กลั่นกรองจากการนำเสนอผลงานทางวิชาการ 25 ครั้ง ในการประชุมทางวิชาการ 50 ครั้ง รวมถึงเลือกสรรรรายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิชาชีพบรรณารักษ์จากสิ่งพิมพ์จำนวน 14 รายการ ข้อมูลที่นำมาใช้ในการเขียนหนังสือเล่มนี้จึงมาจากองค์กรขนาดใหญ่และเล็ก ครอบคลุมห้องสมุดทุกประเภท สมาคมวิชาชีพทั้งในระดับเมือง ภูมิภาค ประเทศ และนานาชาติ รวมทั้งมากจากตัวแทนกลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิชาชีพบรรรณารักษ์ไล่เรียงมาตั้งแต่ นักศึกษาปริญญาโท-เอก บรรณารักษ์ นักกฎหมาย นักประวัติศาสตร์ นักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ นักลงทุนในตลาดหุ้น และครู/อาจารย์ ซึ่ง R. David Lankes เรียกผลลัพธ์จากการประมวลเพื่อเรียบเรียงเนื้อหาสำหรับหนังสือดังกล่าวว่า “participatory librarianship” หรือ “วิชาชีพบรรณารักษ์แบบมีส่วนร่วม” เพราะตามแนวคิดหลักที่นำเสนอผ่านข้อใหญ่ใจความ: “พันธกิจของบรรณารักษ์คือการทำสังคมให้ดีขึ้นด้วยการเอื้อให้เกิดการสร้างสรรค์ความรู้ในชุมชนที่บรรณารักษ์ให้บริการอยู่” (THE MISSION OF LIBRARIANS IS TO IMPROVE SOCIETY THROUGH FACILITATING KNOWLEDGE CREATION IN THEIR COMMUNITIES) นั้น ผู้เขียนหนังสือได้ย้ำไว้อย่างชัดเจนว่า มิใช่ความคิดส่วนตัวของผู้เขียน แต่เก็บเกี่ยวมาจากความคิดเห็นและประสบการณ์จากบุคคลกลุ่มต่างๆ ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาวิชาชีพบรรณารักษ์ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “การดำรงอยู่” ของวิชาชีพนี้ ที่นี้เรามาดูในรายละเอียดของแนวคิดหลักจำนวน 6 เรื่อง ได้แก่
ซึ่งนำเสนอผ่านแผนที่วิชาชีพในแต่ละองค์ประกอบกันดีกว่า โดยผมจะขอสรุปย่อด้วยการเริ่มที่”พันธกิจ”ก่อนนะครับ จากข้อความพันธกิจที่ว่า : “พันธกิจของบรรณารักษ์คือการทำสังคมให้ดีขึ้นด้วยการเอื้อให้เกิดการสร้างสรรค์ความรู้ในชุมชนที่บรรณารักษ์ให้บริการอยู่” เป็นข้อความที่แสดงถึงหน้าที่ความรับผิดชอบส่วนบุคคลของผู้ประกอบวิชาชีพสารนิเทศและห้องสมุดอย่างแท้จริง เมื่อใดก็ตามที่บรรณารักษ์ต้องตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ เช่น การถูกตัดงบประมาณแล้วต้องเลือกให้บริการสารนิเทศเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น การพิจารณาเปิดให้บริการนอกเวลาทำการ การบอกรับฐานข้อมูลราคาแพง ฯลฯ หากบรรณารักษ์ได้นึกถึงข้อความในพันธกิจก็จะช่วยให้บรรณารักษ์ “เลือก” แนวทางที่ถูกต้องเหมาะสมได้ดียิ่งขึ้น ที่นี้ข้อความพันธกิจดังกล่าวข้างต้นอันเป็นสาระสำคัญที่หนังสือเล่มนี้ต้องการจะนำเสนอนั้น สิ่งที่ R. David Lankes ต้องการจะบอกแก่ผู้อ่านก็คือ ถึงคราวที่เราต้องปรับเปลี่ยนมุมมองความคิดจากบรรณารักษ์ที่มีโลกทัศน์ที่มุ่งเน้นคอลเล็กชั่น ทรัพยากรสารนิเทศ หรือวัสดุสารนิเทศ (Artifacts-centric worldview) เพียงอย่างเดียว มาเป็นบรรณารักษ์ที่มองตนเองเป็นผู้ประสาน (Moderators) และผู้เอื้อ (Facilitator) ให้ผู้รับบริการสามารถสร้างสรรค์ความรู้ด้วยตนเองได้ ตัวอย่างงานในฐานะผู้ประสานและผู้เอื้อที่เป็นรูปธรรม เช่น การจัดทำเครื่องมือสืบค้น การจัดระบบสารนิเทศ และการสงวนรักษาสารนิเทศที่เป็นภูมิปัญญาของชาติ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ว่าในอนาคตบรรณารักษ์อาจจะไม่ต้องจัดการกับ ”ตัว”ทรัพยากรสารนิเทศ ชั้นหนังสือ ที่นั่งอ่าน ฯลฯ แต่คุณค่าของบรรณารักษ์ก็มิได้เสื่อมสลายไปด้วย เพราะพันธกิจของวิชาชีพนี้มิได้ยึดติดกับ “วัสดุ” หรือ “สื่อ” สารนิเทศที่ล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา หากบทบาทในการประสานและการสนับสนุนการเรียนรู้ของผู้ใช้สารนิเทศยังคงอยู่อย่างยั่งยืนตลอดไป เหลียวกลับมามองที่ทฤษฎีเบื้องหลังต่างๆ ซึ่งเป็นที่มาของพันธกิจใหม่ในวิชาชีพบรรณารักษ์กันบ้าง ผู้เขียนหนังสือได้อธิบายทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบใหม่ของผู้ประกอบวิชาชีพสารนิเทศ ซึ่งได้แก่ ทฤษฎีการสนทนาที่เน้นการเรียนรู้และความรู้ (Conversation theory: ทรัพยากรและการเข้าถึงสารนิเทศจะมีประโยชน์ในสังคมที่อุดมไปด้วยผู้ใช้สารนิเทศที่ใฝ่รู้ (Active learning) ซึ่งสนทนากันในรูปแบบต่างๆ อาทิ ผ่านตัวหนังสือ ผ่านการพูดคุย ผ่านช่องทางการสื่อสาร และสร้างองค์ความรู้จากการสนทนานั้น บรรณารักษ์จึงต้องประสานและเอื้อให้ผู้ใช้สารนิเทศเกิดการสนทนา โดยวิชาชีพนี้จะทำหน้าที่จัดการ ชี้แหล่ง และให้บริการสารนิเทศที่น่าเชื่อถือ (Credibility) แก่ผู้ใช้) นอกจากนี้ยังมีแนวคิดและทฤษฎีอื่นที่น่าสนใจ แต่ผมไม่ขอลงรายละเอียด ตัวอย่างเช่น กลุ่มทฤษฎีการเรียนรู้ของมนุษย์ (Dialectic theories) แนวคิดการทำความเข้าใจและวิธีการสื่อสารความคิดของปัจเจกบุคคล (Sense-making) ทฤษฎีแรงจูงใจ ปรัชญาเชิง Constructivism และ Postmodernism ตามลำดับ จากการที่พันธกิจของบรรณารักษ์จำเป็นต้องเน้นไปที่การส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการสารนิเทศเกิดการเรียนรู้ มากกว่าการให้บริการหนังสือและสื่อการอ่าน (แบบตั้งรับ: passive) ทำให้เกิดวิวัฒนาการของข้อตกลงทางสังคมขึ้นมาใหม่ (New social compact) เช่น บทบาทของห้องสมุดประชาชนอาจจะเพิ่มขึ้นจากการให้ประชาชนเข้าถึง “หนังสือ” อย่างเท่าเทียมตามหลักประชาธิปไตย ขยับมาเป็นห้องสมุดในฐานะสถาบันหนึ่งทางสังคมที่เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการ “อินเทอร์เน็ต” อย่างทั่วถึงกัน ดังนั้น โรงเรียนบรรณารักษ์จึงจำเป็นต้องผลิตบัณฑิตในสาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ที่ตระหนักในพันธกิจของการประสานและการเอื้อ เพื่อป้อนตลาดงานที่ต้องการวิชาชีพบรรณารักษ์สำหรับสนับสนุนการเร่งสร้างและพัฒนาสังคมฐานความรู้ (knowledge-based society)
0 Comments
องค์ประกอบที่ปรากฏบนแผนที่ Lankes, R. David. The Atlas of New Librarianship. Cambridge: The MIT Press, 2011. Interestingly, this guide book represents key concepts of new librarianship that fit the changing landscape of library and information practitioners perfectly. Its visual presentation in form of a map helps readers can navigate complex foundations of library practices in the American context. It is one of great books in the field of library profession that you can not miss. ผลงานเขียนของ Associate Professor R. David Lankes แห่ง Syracuse University's School of information Studies เล่มนี้ ได้รับรางวัลหนังสือยอดเยี่ยม ABC-CLIO/Greenwood Award ในสาขาวรรณกรรมห้องสมุด เมื่อปี 2012 จากสมาคมห้องสมุดอเมริกัน (http://www.ala.org/news/pr?id=9509) ผู้อ่านหลายคนคงอาจเคยอ่านงานเขียนในเนื้อหาเกี่ยวกับสถานภาพ แนวโน้ม และภาพลักษณ์ของวิชาชีพบรรณารักษ์กันไม่มากก็น้อยนะครับ แต่สำหรับหนังสือเล่มนี้ ผมขอใช้คำว่า "พลิกโฉม" เพราะ R. David Lankes ได้นำเสนอบทบาท/หนัาที่ ความรับผิดชอบอันน่าภาคภูมิใจของวิชาชีพบรรณารักษ์ ที่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในสังคมสมัยใหม่ ที่สภาพแวดล้อมทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี (ในบริบทแบบอเมริกัน แต่นอนมันก็อาจจะเข้ากันได้กับบริบทแบบไทยได้เช่นกัน เพราะเดี๋ยวนี้โลกแคบเนื่องจากความรวดเร็วในการติดต่อสื่อสาร และถ่ายโอนข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต) ส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อ "การดำรงอยู่" ของวิชาชีพบรรณารักษ์ ก่อนจะว่าด้วยเรื่องเนื้อหาของหนังสือ ในตอนที่ 1 นี้ ผมขอบอกเล่ารูปแบบการนำเสนอเนื้อหาของ R. David Lankes ทีแตกต่างจากหนังสือในหมวดเดียวกันเล่มอื่น นั่นคือผู้แต่งหนังสือได้ร้อยเรียงเรื่องราวของความเป็นวิชาชีพในลักษณะของการนำทางผู้อ่านจากเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง (เพราะมันสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน) ด้วยสมุดแผนที่ (Atlas) แล้วจากนั้นจึงค่อยๆ ขยายความใจความหลักที่ผู้เขียนต้องการจะนำเสนอแนวคิดต่อผู้อ่านที่อยู่ในวิชาชีพบรรณารักษ์ นั่นก็คือ "พันธกิจของบรรณารักษ์ (สมัยใหม่) คือการทำสังคมให้ดีขึ้น ด้วยการเอื้ออำนวย ให้เกิดการสร้างสรรค์ความรู้ ให้เกิดขึ้นภายในชุมชนที่บรรณารักษ์ให้บริการอยู่" (The mission of librarians is to improve society through facilitating knowledge creation in their communities) ดังนั้น รายละเอียดในหนังสือจึงร้อยเรียงโดยผูกทั้ง 6 แนวคิดเข้ามาไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืนไล่ไปตั้งแต่ 1) พันธกิจ 2) การสร้างสรรค์ความรู้ 3) การเอื้ออำนวย 4) ชุมชน 5) การทำสังคมให้ดีขึ้น และปิดท้ายด้วย 6) ตัวบรรณารักษ์เอง ด้วยปริมาณของเนื้อหาในแต่ละแนวคิดมีจำนวนค่อนข้างมาก ซับซ้อน และเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน จึงทำให้เนื้อหาของหนังสือค่อนข้างที่จะกลับไปกลับมา ค่อนข้างยากที่จะอ่านตั้งแต่หน้าแรกจนไปถึงหน้าสุดท้ายได้ บ่อยครั้งทีเดียวที่ผมเองก็ต้องพลิกกลับไปอ่านหน้านู้นที หน้านั้นที ทำให้ไม่สามารถอ่านได้อย่างต่อเนื่องเหมือนที่เคยชินมา เพื่อช่วยผู้อ่านให้สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น R. David Lankes จึงได้อธิบายองค์ประกอบที่ปรากฏอยู่ภายใน "สมุดแผนที่ของวิชาชีพบรรณารักษ์สมัยใหม่" จำนวน 6 องค์ประกอบ ดังนี้ Agreement = ข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับขอบเขตของวิชาชีพบรรณารักษ์ เช่น ลักษณะของทักษะวิชาชีพ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง การปฏิบัติงาน ตัวอย่าง ฯลฯ Relationships = ความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยง "ข้อตกลงร่วม" เอาไว้ด้วยกันภายใต้บริบทใดบริบทหนึ่ง Threads = การบอกเล่าเรื่องราวของแนวคิดหลัก ( พันธกิจ การสร้างสรรค์ความรู้ การเอื้ออำนวย ชุมชน การทำสังคมให้ดีขึ้น และตัวบรรณารักษ์) ที่อธิบายในสมุดแผนที่ Map = การนำเสนอในรูปแบบทัศนศิลป์ที่ทำหน้าที่คล้ายดรรชนี (เส้นรุ้ง เส้นแวง ที่กำหนดพิกัดของสมุดแผนที่) ในการนำผู้อ่านให้สามารถค้นพบและนำทางไปสู่ความเข้าใจในสาขาวิชาชีพบรรณารักษ์ได้ Atlas = ภาพรวมทั้งหมดของหนังสือ The Atlas of New Librarianship สำหรับตอนที่ 2 ในบทแนะนำหนังสือเล่มนี้ ผมจะได้สรุปเนื้อหาที่น่าสนใจจากผลงานของ R. David Lankes มาให้อ่านกันต่อครับ โปรดติดตาม |
Archives
October 2015
Categories
All
|