0 Comments
การพูดถึงบทบาทของบรรณารักษ์และหน้าที่ของห้องสมุดที่เปลี่ยนแปลงไปบ่อยๆ อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้สาธารณชนส่วนใหญ่รับรู้ เข้าใจ และตระหนักถึงคุณค่าของวิชาชีพนี้ ตลอดจนความคุ้มค่าของห้องสมุด/บริการข้อมูลสารสนเทศในยุคดิจิทัล ได้มากเท่าใดนัก
Bozarth, Jane. Show Your Work: The Payoffs and How-To’s of Working Out Loud. San Francisco, CA: John Wiley & Sons, 2014. ISBN: 9781118863626; 186 p.
หากลองคิดย้อนกลับไปว่าผู้วิจารณ์ได้เคยอ่านหนังสือภาษาอังกฤษทางด้านการจัดการความรู้ (Knowledge Management) อะไรมาแล้วบ้าง ที่นำเสนอเนื้อหาสาระเชิงวิชาการซึ่งเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์/สารสนเทศศึกษา และสามารถนำมาใช้เป็นตัวอย่างหรือกรณีศึกษาที่เข้ากันได้กับบริบทในงานห้องสมุดและสารสนเทศ เท่าที่นึกออกก็มีอยู่หลายเล่มด้วยกัน แต่ที่นำมาใช้เป็นหนังสืออ่านประกอบในรายวิชาการจัดการความรู้สำหรับนิสิตระดับปริญญาตรีและปริญญาโทอยู่บ่อยครั้งมีด้วยกัน 3 ชื่อเรื่อง เล่มแรก คือ Knowledge Management: Cultivating Knowledge Professionals เขียนโดย Suliman Al-Hawamdeh (2003) ศาสตราจารย์สาขาการจัดการความรู้ แห่ง Oklahoma University ซึ่งปัจจุบันสอนอยู่ที่ University of North Texas ประเทศสหรัฐอเมริกา นับเป็นหนังสือยุคต้นๆ ที่ผู้เขียนได้เรียบเรียงเนื้อหาด้านการจัดการความรู้อย่างพอเหมาะพอดี เข้ากันได้กับบริบทของวิชาชีพห้องสมุดและสารสนเทศ พร้อมทั้งแนะนำให้ผู้อ่านที่อยู่ในวงการห้องสมุดและสารสนเทศรู้จักกับศัพท์เฉพาะใหม่ๆ หลายคำ เช่น เศรษฐกิจความรู้ (Knowledge economy) ทุนปัญญา (Intellectual capital) ชุมชนนักปฏิบัติ (Community of practice) องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning organization) เป็นต้น ประเด็นหลักที่อภิปรายในหนังสือเล่มนี้ส่วนใหญ่เน้นหนักไปที่ข้อมูลพื้นฐานเพื่อสร้างความเข้าใจในหลักการด้านการจัดการความรู้ จึงเหมาะกับนิสิต/นักศึกษาที่กำลังเรียนวิชาการจัดการความรู้เบื้องต้นมากกว่าผู้อ่านที่ประกอบวิชาชีพห้องสมุดและสารสนเทศ เล่มที่สองเป็นตำราเรียนชื่อว่า Knowledge Management เขียนโดย Shelda Debowski (2006) แม้ว่าผู้เขียนตำราเล่มนี้จะตั้งใจเรียบเรียงเนื้อหาความรู้ทางด้านการจัดการความรู้โดยมุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ (Strategic Management) ในองค์กรเป็นหลักก็ตาม แต่ด้วยความที่ Debowski มีภูมิหลังและประสบการณ์มายาวนานในวิชาชีพบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์จากการรับเป็นที่ปรึกษาให้กับหน่วยงานบริการสารสนเทศหลายแห่งในประเทศออสเตรเลีย จึงทำให้วิธีการนำเสนอแนวคิด/ทฤษฎี คำอธิบาย และการใช้คำศัพท์เทคนิคต่างๆ นั้น สามารถสื่อสารออกมาในโทนของความเป็นบรรณารักษ์ (Librarianship) ได้อย่างชัดเจน สำหรับเล่มที่สามเป็นงานเขียนของ Kimiz Dalkir (2011) รองศาสตราจารย์ประจำ Graduate School of Information and Library Studies แห่ง McGill University ประเทศแคนาดา ชื่อเรื่องว่า Knowledge Management in Theory and Practice ในตำราเล่มนี้แม้ว่าจะมีการสอดแทรกแนวปฏิบัติตามวงจรของการจัดการความรู้เริ่มตั้งแต่การจับสาระและถอดรหัสความรู้ (Knowledge capture and codification) ไปจนถึงการจัดทำและดำเนินกลยุทธ์ด้านการจัดการความรู้ แต่วิธีการเรียบเรียงบทเรียนทั้ง 14 บทก็ไม่ได้แตกต่างไปจากหนังสือของ Debowski (2006) มากนัก กล่าวคือผู้เขียนยังมุ่งเน้นไปที่แนวคิด/ทฤษฎี คำอธิบาย ตลอดจนประเด็นอภิปรายในเชิงวิชาการ มากกว่าการขยายรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับหลักปฏิบัติในองค์กรที่ใช้เป็นกรณีศึกษาซึ่งผู้อ่านสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง การที่ผู้วิจารณ์ยกตัวอย่างหนังสือด้านการจัดการความรู้ทั้ง 3 ชื่อเรื่องดังกล่าวข้างต้น ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า หนังสือที่ผลิตออกสู่สายตาผู้อ่านโดยนักวิชาการสาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์/สารสนเทศศึกษาที่มีอยู่ในขณะนี้ ส่วนมากมักเป็นหนังสือวิชาการที่ใช้เพื่อการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย ขณะที่จำนวนหนังสือที่อธิบายวิธีการจัดการความรู้ (How-to books) สำหรับกลุ่มนักอ่านที่ปฏิบัติงานอยู่ตามองค์กรต่างๆ หรือผู้ประกอบวิชาชีพยังมีอยู่ไม่มากนัก ซึ่งความจริงแล้วสัดส่วนระหว่างจำนวนหนังสือวิชาการกับจำนวนหนังสือที่อธิบายวิธีการ เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างวงการบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์/สารสนเทศศึกษากับวงการอื่นอย่างสาขาวิชาวิทยาการจัดการ (Management sciences) ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันเท่าไรนัก เพราะหนังสือที่เน้นการนำเสนอแนวปฏิบัติที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริงสำหรับองค์กรภาคธุรกิจก็หาได้ค่อนข้างยากในตลาดหนังสือเช่นเดียวกัน โดยส่วนตัวของผู้วิจารณ์เองแล้วชื่นชอบหนังสือชื่อ Learning to Fly: Practical Knowledge Management from Leading and Learning Organizations แต่งโดย Chris Collison and Geoff Parcell (2004) มากเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราว ข้อเท็จจริง พร้อมแนวทางปฏิบัติด้านการจัดการความรู้ที่เกิดขึ้นในบริษัทเครือ British Petroleum (BP) ผ่านมุมมองและประสบการณ์ตรงของผู้แต่งทั้งสอง ที่ได้ดำเนินกิจกรรมและนำเครื่องมือเพื่อการจัดการความรู้ประเภทต่างๆ มาใช้ใน BP รวมถึงในองค์กรธุรกิจประเภทอื่นด้วย ตัวอย่างของเครื่องมือก็เช่น การประเมินตนเอง การเรียนรู้จากเพื่อนร่วมงาน (Learning from peers) การเรียนรู้ขณะลงมือทำ (Learning whilst doing) การเรียนรู้หลังเสร็จสิ้นภารกิจ (Learning after doing) แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าหนังสือที่เขียนออกมาในลักษณะของการอธิบาย “วิธีการ” จัดการความรู้ตามแบบฉบับของ Collison and Parcell (2004) นั้นมีจำนวนไม่มากนัก จนกระทั่ง 10 ปีผ่านไป ในที่สุดหนังสือในแนวที่ผู้วิจารณ์รอคอยก็ปรากฏขึ้นในวงวรรณกรรม นั่นก็คือหนังสือของ Jane Bozarth (2014) ชื่อเรื่องว่า Show Your Work: The Payoffs and How-To’s of Working Out Loud David Skryme (2013) อดีตที่ปรึกษาด้านการจัดการความรู้ให้แก่บริษัทชั้นนำของโลกหลายแห่ง ได้แบ่งพัฒนาการในการจัดการสารสนเทศและความรู้ออกเป็น 7 ยุค ได้แก่ ยุคที่ 1 ช่วงระหว่างทศวรรษ 1970-1992: การก่อตั้งสาขาวิชาเพื่อศึกษาการจัดการทรัพยากรสารสนเทศ (Information resource management) ในองค์กรขึ้นมาโดยเฉพาะ; ยุคที่ 2 ตั้งแต่ปี 1995-1997: การทดลองนำแนวคิดด้านการจัดการความรู้มาใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยความรู้อย่างมาก เช่น อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ เคมีภัณฑ์ ยา เทคโนโลยีขั้นสูง ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการ ฯลฯ; ยุคที่ 3 ปี 1997-1998: การตามกระแสและเปลี่ยนชื่อ (Bandwagon and relabeling) เป็นช่วงเวลาที่บริษัทหลายแห่งริเริ่มโครงการต่างๆ ที่มีคำว่า “การจัดการความรู้” ปรากฏอยู่ในชื่อของโครงการ และเป็นยุคที่บริษัทซอฟต์แวร์ต่างพากันเปลี่ยนชื่อผลิตภัณฑ์ของตนเองจากซอฟต์แวร์อินทราเน็ตสำหรับสถานประกอบการ (Enterprise intranet software) มาเป็น “KM solutions”; ยุคที่ 4 ระหว่าง 1998-2002: การแยกส่วนและความเหนียวแน่น (Segmentation and consolidation) แนวคิดการจัดการสารสนเทศและความรู้แผ่ขยายออกไปหลายทิศทาง ทุกวงการ ทุกภาคส่วน และทุกอุตสาหกรรม จากประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศในทวีปยุโรปสู่ประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชีย ขณะเดียวกันก็มีการเรียนการสอนในหลักสูตรต่างๆ ทางด้านการจัดการความรู้ในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เครื่องมือ/เทคนิคในการจัดการความรู้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และถูกนำไปใช้ในงานประจำ; ยุคที่ 5 ปี 2003-2005: ทบทวนอดีตเพื่อมุ่งสู่อนาคต สาขาวิชาการจัดการความรู้ยังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่กระแสความนิยมในหน่วยงานต่างๆ เริ่มลดน้อยถอยลง มีการสำรวจเก็บข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาแนวทางที่จะทำให้การจัดการความรู้เข้ากันได้กับบริบทของธุรกิจในวงกว้าง; และยุคที่ 6 ตั้งแต่ 2005-2012: การจัดการสารสนเทศและความรู้ 2.0 ซึ่งแปรเปลี่ยนไปตามความเจริญเติบโตของสื่อสังคม เช่น บล็อก วิกิ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ลิ๊งธ์อิน ฯลฯ หนังสือของ Bozarth (2014) ที่นำมาแนะนำนี้ได้สะท้อนให้ผู้อ่านเข้าใจและมองเห็นพัฒนาการขององค์ความรู้และแนวปฏิบัติด้านการจัดการความรู้ที่ได้ก้าวเข้าสู่ยุคที่ 6 (ระหว่างปี 2005-2012) ของการจัดการสารสนเทศและความรู้เชิงสังคมและอารมณ์อย่างเต็มรูปแบบ กล่าวคือ ผู้ปฏิบัติงานที่ต้องอาศัยความรู้อย่างเข้มข้นในการสร้างสรรค์ ออกแบบ และนำเสนอผลิตภัณฑ์/บริการต่างมีพื้นที่ในการสื่อสารรวมทั้งแลกเปลี่ยนข้อมูล สารสนเทศ และความรู้ ตลอดจนเผยแพร่ความเชี่ยวชาญของตนเองได้อย่างกว้างขวางและหลากหลายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อันเนื่องมาจากอิทธิพลของสื่อสังคมออนไลน์ อาทิ บล็อก วิกิ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ลิ๊งธ์อิน ยูทูป พินเทรสต์ (Pinterest) อินสตาแกรม เป็นต้น ที่เอื้อให้ผู้ใช้สื่อเหล่านี้มีเวทีสำหรับการรับ ส่งผ่าน และมีปฏิสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ร่วมกัน (Social intelligence) ระหว่างสมาชิกในชุมชนออนไลน์ได้อย่างไร้ขีดจำกัดทั้งทางด้านเวลาและสถานที่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งนับว่า Jane Bozarth ผู้แต่งหนังสือ Show Your Work: The Payoffs and How-To’s of Working Out Loud อธิบายการจัดการความรู้เชิงสังคมและอารมณ์ในยุคที่มีการใช้สื่อสังคมอย่างแพร่หลายได้อย่างละเอียด จนผู้อ่านสามารถมองเห็นภาพชัดเจน และอาจพิจารณานำแนวคิดของ “การทำงานให้ดัง” (Working Out Loud) ที่ปรากฏในเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ไปปรับใช้ได้จริงตามบริบทของแต่ละองค์กรหรือหน่วยงานนั้นๆ อันที่จริงผู้เขียนหนังสือไม่ได้ต้องการกำหนดตายตัวว่าแนวคิดการทำงานให้ดังควรมีคำเรียกทางการว่าอะไร โดยหลายคนอาจจะเรียกว่าเป็นการทำงานให้ประจักษ์ (Making work visible) การทำงานให้สามารถค้นพบได้ (Making work discoverable) หรือแม้แต่การพรรณนางาน (Narrating work) ก็ได้ สำหรับวิธีการทำงานให้ดัง นั้น อาจครอบคลุมทั้งการเขียน การพูดคุย การวาดภาพ การถ่ายภาพ และอื่นๆ สุดแท้แต่ผู้ปฏิบัติงานจะเลือกใช้ตามความต้องการและเหมาะสมของตน โดยเน้นหลักการว่า “การสื่อสารต้องมาก่อนสารสนเทศ การสนทนาอยู่เหนือเครื่องมือใดๆ” เพื่อให้บุคลากรที่ใช้สารสนเทศและความรู้ในการทำงานได้แสดงผลงาน-แบ่งปันความรู้สู่ผู้อื่นจนเกิดการต่อยอดทางความคิดออกไปไม่สิ้นสุด ในหนังสือของ Jane Bozarth เล่มนี้แบ่งเนื้อหาออกเป็น 7 ตอน ได้แก่ 1) บทนำ เป็นการอธิบายความหมายของแนวคิด ‘Show your work’ หรือการทำงานให้ดัง ความสำคัญ-ความจำเป็นของแนวคิดดังกล่าว รวมถึงปัญหาในการถอดรหัสความรู้แบบเดิมที่เน้นการจัดการความรู้แบบ “ของใครของมัน” (Silos) และแนวคิดการทำงานให้ดังจะนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ได้อย่างไรบ้าง 2) ประโยชน์ต่อองค์กร ตอนที่สองของหนังสือเน้นไปที่การทำให้ผู้อ่านเห็นประโยชน์ที่องค์กรโดยรวมจะได้รับจากการทำงานให้ดัง เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การทลายกับดักของการสื่อสารภายในองค์กรที่แต่เดิมเน้นแค่เพียงการจดบันทึกในสิ่งที่ทำเท่านั้นแต่มีการแบ่งปันความรู้ระหว่างบุคลากรน้อยมาก การส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้จากข้อผิดพลาด การสงวนรักษาความรู้ขององค์กร การปรับปรุงการรับรู้และการตระหนักรู้ในงานและความอุตสาหะของบุคลากรในองค์กร เป็นต้น 3) ประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติงาน เนื้อหาในตอนที่สามเป็นการอธิบายพร้อมยกตัวอย่างจริงเกี่ยวกับประโยชน์ที่บุคลากรแต่ละคนจะได้รับจากการแสดงผลงานของตนเองผ่านหลักปฏิบัติเชิงทบทวน (Reflective practice) ถึงสิ่งที่ลงมือทำจริงในวันหนึ่งๆ ซึ่งการทำเช่นนี้นับเป็นการเรียนรู้แบบต่อเนื่องที่ก่อประโยชน์หลายด้าน อาทิ การสร้างความน่าเชื่อถือ/ความเชี่ยวชาญ การยกระดับประวัติการทำงานของตนเอง (Profile) การปรับปรุงผลการปฏิบัติงาน การสร้างบทสนทนาระหว่างผู้ร่วมอาชีพ การได้รับความช่วยเหลือ/ประหยัดเวลา/หลีกเลี่ยงการทำซ้ำ การสร้างแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) อย่างสร้างสรรค์และดึงดูดใจ เป็นต้น สำหรับส่วนสุดท้ายของตอนที่สามนี้มีแบบฝึกหัดจำนวน 3 ชุดให้ผู้อ่านได้ตอบคำถาม คิดทบทวน และกระตุ้นต่อมความคิดเพื่อหาหนทางแสดงผลงานของตนเองที่สอดคล้องกับกระแสงานจริง (Work flow) 4) นิยามความรู้และเหตุผลที่นำมาแบ่งปันกัน เนื้อหาของตอนที่สี่ค่อนข้างสั้นแต่เข้มข้นจริงจังกว่าตอนอื่นๆ โดย Jane Bozarth แบ่งความรู้ที่เกิดจากการทำงานออกเป็น 3 ประเภท คือ ความรู้ที่มีการบันทึกและจัดเก็บ (Codified, stored knowledge) ในองค์กร ความรู้ที่มีอยู่ในตัวผู้เชี่ยวชาญซึ่งต้องอาศัยความสนใจส่วนตัว มาตรการลงโทษ และการให้รางวัลจึงจะก่อให้เกิดการแบ่งปันความรู้ประเภทนี้ได้ และสุดท้ายคือ ความรู้ที่ฝังตัวอยู่ในชุมชน นิสัย งานประจำ ตลอดจนภาษาและเรื่องราวที่แบ่งปันผ่านการทำงานร่วมกัน ซึ่งผู้แต่งเองให้ความสำคัญกับความรู้ประเภทสุดท้ายนี้ค่อนข้างมาก นอกจากนี้ยังได้ยกเหตุผลและข้อดีของการแบ่งปันความรู้หลายประการจากเอกสารอ้างอิงเพื่อจูงใจให้ผู้อ่านเห็นคล้อยตาม 5) ตัวอย่างการทำงานให้ดัง จัดเป็นตอนที่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้เห็นตัวอย่างจริงของการทำงานให้ดัง โดยอาศัยการพรรณนางานในรูปแบบต่างๆ ผ่านเครือข่ายสังคม ตัวอย่างการทำงานที่นำเสนอมีความหลากหลายและน่าสนใจอย่างมาก เช่น การตกแต่งต้นไม้ การผ่าตัด การอบคุ้กกี้ การผลิตวิดีโอแอนิเมชั่น งานแพทย์อาสา การออกแบบ โมบายแอพพลิเคชั่น งานสร้างสรรค์ทางศิลปะ เป็นต้น สิ่งที่น่าชื่นชมสำหรับเนื้อหาในตอนที่ 5 ก็คือ การยกตัวอย่างพร้อมภาพประกอบที่สื่อสารออกมาได้ชัดเจน เข้าใจง่าย สีสันสวยงาม และดึงดูดใจ รวมถึงมีการสอดแทรกข้อความเพื่อสรุปใจความสำคัญของการทำงานปรากฏอยู่ในส่วนต่างๆ ของหนังสือ ความพยายามของผู้เขียนที่นำเสนอออกมาเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของ Jane Bozarth ในการสื่อสารด้วยภาพ (Visualization) อย่างแท้จริง 6) การเรียนรู้และการพัฒนา เนื้อหาในตอนที่ 6 ของหนังสือดูจะเกี่ยวข้องกับนักวิชาชีพห้องสมุดและสารสนเทศ มากที่สุด เนื่องจากบทบาทหน้าที่ประการสำคัญของผู้ประกอบวิชาชีพนี้ในปัจจุบัน คือ การช่วยให้ผู้ที่ต้องการสารสนเทศและความรู้ได้เข้าถึง เผยแพร่ และหาสารสนเทศเจอ ซึ่งถือว่าเป็นการส่งเสริมให้กลุ่มผู้ใช้เหล่านี้ได้แสดงผลงานของตนนั่นเอง อย่างไรก็ตาม หนทางในการแสดงให้เห็นว่าผู้ปฏิบัติงานด้านการฝึกอบรม (หมายรวมถึงวิชาชีพห้องสมุดและสารสนเทศด้วย) จะสามารถทำอะไรเพื่อเอื้อให้เกิดการทำงานให้ดังทั่วทั้งองค์กรได้บ้าง ตลอดจนการก้าวมาเป็นผู้นำแห่งการทำงานให้เป็นที่ประจักษ์นั้น นับเป็นความท้าทายอย่างที่สุดสำหรับคนในวิชาชีพนี้ 7) เคล็ดลับการทำงานให้ดัง Jane Bozarth สรุปตอนสุดท้ายของหนังสือด้วยการนำเสนอเคล็ดลับต่างๆ สำหรับผู้จัดการ นักฝึกอบรม ผู้ปฏิบัติงาน และบุคคลทั่วไปจะได้นำไปประยุกต์ใช้เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อันจะนำไปสู่ก้าวแรกของการปฏิบัติ ก้าวแรกเพื่อเป็นแบบอย่าง และผู้บุกเบิกสู่การทำงานให้ดังภายในองค์กร ตัวอย่างเคล็ดลับที่น่าสนใจ เช่น การกำหนดคำเรียก แพลตฟอร์ม (Platforms) เทมเพลต (Templates) และรูปแบบที่ทุกคนเข้าใจตรงกัน การลดความซับซ้อนของกระบวนการทำงานให้ดัง การสร้างค่านิยมทำสิ่งต่างๆ ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณะ (Making things public) การเลือกเครื่องมือและกลยุทธ์ในการแสดงผลงานมาใช้อย่างเหมาะสม (โปรแกรมนำเสนอ ภาพถ่าย วิดีโอ ฯลฯ) เป็นต้น กรณีที่ผู้อ่านคนใดสนใจนำแนวคิดการทำงานให้ดังมาปรับใช้จริงในองค์กรของตนเอง ผู้วิจารณ์ขอแนะนำให้เริ่มจากการลองทำแบบประเมินความพร้อมของวัฒนธรรมองค์กรและภาวะผู้นำด้านการเปิดรับ (Openness audit) ในหน้า 169-172 เสียก่อน เพื่อทราบจุดอ่อน-จุดแข็งขององค์กรก่อนริเริ่มดำเนินการใดๆ ต่อไป แบบประเมินนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การแบ่งปันสารสนเทศ และกระบวนการตัดสินใจ ในส่วนแรกนั้นประกอบด้วย 6 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ การประเมินด้านการอธิบายสร้างความเข้าใจ การปรับปรุงเทคโนโลยีและกระบวนการให้ทันสมัย การสร้างบรรยากาศแห่งการสนทนา ช่องทางการสื่อสาร แหล่งรวมความรู้ร่วมกัน (Crowdsourcing) และแพลตฟอร์มต่างๆ สำหรับส่วนที่สองเป็นการประเมินประเภทของการตัดสินใจจำแนกออกเป็น 7 ประเภท ได้แก่ การจัดหา การร่วมทุน การสร้างตราสินค้า/กำหนดตำแหน่งทางการตลาด (Positioning) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การงบประมาณ การออกแบบกระแสงาน และการจ้างงาน หากชั้นหนังสือของท่านเต็มไปด้วยตำราเรียนและหนังสือวิชาการที่เน้นหนักทฤษฎี โมเดล กรอบแนวคิด และหลักการทั่วไปด้านการจัดการความรู้อยู่เป็นจำนวนมากแล้ว (Know-what) และกำลังมองหาหนังสือที่อธิบายพร้อมกับนำเสนอวิธีการ/แนวปฏิบัติที่นำไปใช้ได้จริง (Know-how) ในชีวิตและการทำงานที่เข้ากันกับยุคแห่งการเติบโตของสื่อสังคมบนโลกออนไลน์ หนังสือ Show Your Work: The Payoffs and How-To’s of Working Out Loud เล่มนี้ เป็นอีกชื่อเรื่องหนึ่งที่นักจัดการความรู้ทุกระดับในองค์กรไม่ควรพลาด รายการอ้างอิง Al-Hawamdeh, S. (2003). Knowledge management: cultivating knowledge professionals (1st ed). Oxford: Chandos Publishing. Bozarth, J. (2014). Show Your Work (1 edition). San Francisco, CA: John Wiley & Sons. Collison, C., & Parcell, G. (2004). Learning to fly: practical knowledge management from some of the world’s leading learning organizations (Updated edition). Oxford: Capstone. Dalkir, K. (2011). Knowledge management in theory and practice (2nd ed). Cambridge, Mass: The MIT Press. Debowski, S. (2006). Knowledge management. Sydney: Wiley. David J Skyrme. (2004). The Seven Ages of Information & Knowledge Management: What Have We (Not) Learned? Available from www.skyrme.com/kmarticles/7ikm.pdf Crisis Information Management: Communication and TechnologiesHagar, Christine, ed. Crisis Information Management: Communication and Technologies. Oxford: Chandos Publishing, 2012. ISBN: 9781843346470; 197 p. หลายคนคงมีประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม และอาจได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อยจากอุทกภัยเมื่อปี พ.ศ. 2554 ซึ่งวิกฤตการณ์ในครั้งนั้นได้ให้บทเรียนแก่คนไทยในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการวางแผนรับมือกับภัยพิบัติ การเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการแจ้งเตือนภัย การบรรเทาทุกข์ การฟื้นฟูสาธารณูปโภคต่างๆ รวมทั้งการเยียวยาสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ที่ได้รับผลกระทบ เป็นต้น หากยังจำภาพข่าว คลิปเสียง คลิปวีดิโอ ที่ได้รับรู้ผ่านสื่อสารมวลชนและสื่อดิจิทัลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เราก็คงจะจำกันได้ถึงความสับสนวุ่นวาย ณ ช่วงเวลาวิกฤตินั้น ตัวอย่างเช่น เราควรจะเชื่อข้อมูลข่าวสารจากที่มาจากแหล่งสารสนเทศใด (อาทิ สื่อสารมวลชน สื่อสังคม เพื่อนฝูงที่ประสบภัยไปแล้วก่อนเรา) เนื้อหาสารสนเทศอะไรบ้าง (อาทิ แผนที่ ภาพถ่ายดาวเทียม การวิเคราะห์วิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญ) ที่เราต้องใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจเอาตัวรอดจากอุทกภัยในขณะนั้น ตัวอย่างเหล่านี้เมื่อผนวกเข้ากับความตื่นตระหนก และความกังวลใจต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของประชาชนผู้รับสารสนเทศแล้ว แน่นอนว่าเราทุกคนก็คงเห็นภาพและสัมผัสถึงความโกลาหลวุ่นวายในกระแสไหลเวียนของสารสนเทศ (Information flows) ตลอดจนความสับสนที่ผู้รับสารหรือผู้ใช้สารสนเทศประสบในกระบวนการสื่อสารในภาวะวิกฤติ (Crisis communication) ตัวอย่างที่ยกมานี้เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องบูรณาการสารสนเทศจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อใช้ในการอ้างอิงร่วมกันได้อย่างถูกต้องและทันกาล (พูนลาภ ชัชวาลโฆษิต, 2554: 59) หรืออาจกล่าวได้ว่า สิ่งหนึ่งที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับมืออุทกภัยในครั้งนั้นต่างตระหนักเป็นอย่างดีก็คือ การคำนึงถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการบริหารจัดการสารสนเทศในภาวะวิกฤติ (Crisis information management) นั่นเอง
อันที่จริงการศึกษาและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะวิกฤตินั้นเกิดขึ้นมานานแล้วทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพียงแต่ที่ผ่านมานั้นส่วนใหญ่มักค้นคว้าหาคำตอบแบบแยกส่วนโดยผ่านมุมมองของการสื่อสาร การบริหารรัฐกิจ ระบบคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการสื่อสาร และที่ผ่านมาก็ได้มีนักวิจัยและนักวิชาการในสาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ทำการศึกษาภาวะวิกฤติโดยผ่านมุมมองด้านสารสนเทศ (Information perspective) โดยศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้สารสนเทศกลุ่มต่างๆ ทั้งก่อน ขณะเกิด และภายหลังภาวะวิกฤติ อย่างไรก็ดี ในปี ค.ศ. 2006 Hagar (2006) นักวิชาการด้านสารสนเทศชาวอังกฤษนับเป็นผู้บุกเบิกรุ่นแรกๆ ที่ศึกษาการบริหารจัดการสารสนเทศในภาวะวิกฤติด้วยการหลอมรวมวิทยาการที่เกี่ยวข้องเข้ามาไว้ด้วยกัน จนเกิดคำเรียกสาขาวิชาที่เกิดขึ้นใหม่นี้ว่า “Crisis informatics” ด้วยลักษณะของการเป็นสหวิทยาการจึงทำให้สาขาวิชาการบริหารจัดการสารสนเทศในภาวะวิกฤติมีขอบเขตครอบคลุมการศึกษาทั้งกลุ่มคนผู้ใช้สารสนเทศ องค์กร/หน่วยงานสารสนเทศ เนื้อหาของสารสนเทศ และเทคโนโลยีสารสนเทศ อย่างเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว พฤติกรรมส่วนบุคคลรวมทั้งพฤติกรรมทางสังคมของผู้ใช้สารสนเทศในภาวะวิกฤติย่อมส่งผลต่อรูปแบบของเทคโนโลยีที่จะถูกพัฒนาขึ้นต่อไป ในทางกลับกัน เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบันก็นับเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดพฤติกรรมส่วนบุคคลและพฤติกรรมทางสังคมของผู้ใช้สารสนเทศในภาวะวิกฤติเช่นเดียวกัน (Hagar, 2010: 10) สำหรับหนังสือ Crisis Information Management: Communication and Technologies ที่มี Hagar เป็นบรรณาธิการเล่มนี้ ได้ระบุวัตถุประสงค์ของการรวบรวมบทความวิจัยจากผู้เขียนหลายคนว่า เพื่อต้องการให้ผู้อ่านรับทราบและรับรู้ตัวอย่างบางตอนของงานวิจัยที่กำลังดำเนินการอยู่ ณ ขณะนั้น ควบคู่ไปกับตัวอย่างของหลักปฏิบัติที่มาจากกลุ่มบุคคลที่มีส่วนร่วมในการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานและระบบสารสนเทศสำหรับสนับสนุนงานด้านการบริหารจัดการสารสนเทศในภาวะวิกฤติและเหตุฉุกเฉิน (Hagar, 2012: 2) ในส่วนเนื้อหาของบทนำเองนั้น ได้เกริ่นถึงความหมายและขอบเขตของคำว่า “ภาวะวิกฤติ” อย่างสั้นๆ สรุปประเด็นความท้าทายด้านสารสนเทศในยามที่ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤติจำนวน 9 ประเด็น ซึ่งอันที่จริงประเด็นต่างๆ เหล่านี้เคยปรากฏในบทความของ Bulletin of the American Society for Information Science and Technology ที่ตัวบรรณาธิการเองได้ตีพิมพ์เผยแพร่ไปแล้วก่อนหน้านี้เมื่อปี 2010 (Hagar, 2010: 10) ได้แก่
ส่วนเนื้อหาหลักของหนังสือเล่มนี้ก็คือ การรวบรวมบทความวิจัยในสาขาวิชาการบริหารจัดการสารสนเทศในภาวะวิกฤติ จำนวน 10 บทความ โดยมีสาระสำคัญที่น่าสนใจเรียงลำดับตามหมายเลขของบทความดังต่อไปนี้
เมื่อพิจารณาเนื้อหาของบทความวิจัยจำนวนทั้ง 10 บทความที่นำเสนอในหนังสือเล่มนี้แล้ว พบว่า ข้อค้นพบตลอดจนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการบริหารจัดการสารสนเทศในภาวะวิกฤตินั้น มีความหลากหลายและแตกต่างกันอย่างน้อยใน 5 มิติ ซึ่งผู้วิจารณ์ได้พยายามวิเคราะห์ขึ้นมาเองจากการอ่านทั้ง 10 บทความ เนื่องจากหนังสือไม่มีการจัดกลุ่มของบทความไว้ให้ สำหรับมิติทั้ง 5 ด้าน ประกอบด้วย
ข้อจำกัดเดียวของหนังสือเล่มนี้ที่ผู้วิจารณ์พบก็คือ ถึงแม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะมุ่งหวังให้เป็นหนังสือสำหรับใช้ในการเรียนการสอนรายวิชา Crisis informatics และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อนักวิจัย ผู้ปฏิบัติงาน ผู้วางนโยบายในสาขาที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ การจัดการสารสนเทศ ระบบสารสนเทศ การจัดการความรู้ การวางแผนและบริหารจัดการเหตุฉุกเฉิน (Emergency management and planning) องค์กรที่มิใช่ภาครัฐ การจัดการความเสี่ยง การสื่อสาร วิทยาการคอมพิวเตอร์ นักพัฒนาชุมชน สาธารณสุข ฯลฯ ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดทำหนังสือนี้ก็ตาม (Hagar, 2012: 6) แต่หนังสือเล่มนี้กลับมีเพียงบทนำที่ให้ภาพรวมของแต่ละบทความด้วยการย่อใจความสำคัญของงานที่รวบรวมมา และที่สำคัญคือการขาดบทสรุปท้ายเล่มที่เป็นการประมวลความคิดรวบยอด หรือนำเสนอกรอบแนวคิด/ทฤษฎี (Conceptual/theoretical framework) ที่ได้จากการสังเคราะห์ผลงานวิจัยตลอดจนหลักปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการสารสนเทศในภาวะวิกฤติจากทั้ง 10 บทความ สำหรับให้ผู้อ่านใช้เป็นพื้นฐานในการศึกษาสาขาวิชา Crisis informatics ขั้นสูงต่อไป แต่เหตุผลหนึ่งที่หนังสือเล่มนี้ขาดบทสรุปสังเคราะห์ก็อาจคาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นเพราะข้อกำหนดหนังสือที่ตีพิมพ์ในชุด Chandos Information Professional Series ที่ทุกเล่มเน้นให้ผู้อ่านที่เป็นบรรณารักษ์และนักสารสนเทศซึ่งไม่ค่อยมีเวลาอ่านมากนัก ได้ติดตามความคิดร่วมสมัยผ่านงานเขียนที่เรียบเรียงให้อ่านเข้าใจง่าย ครอบคลุมหัวข้อที่สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง มากกว่ามุ่งไปที่เนื้อหาเชิงทฤษฎีก็เป็นได้ แม้จะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่ผู้เขียนบทความทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ก็ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ที่มาจากการศึกษาวิจัยแบ่งปันประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของตนเองสู่ผู้อ่าน โดยความหวังอันสูงสุดของผู้เขียนทุกคนก็น่าจะเป็นการได้เห็นผู้ประสบภัยสามารถผ่านช่วงเวลาอันเลวร้าย และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขหลังผ่านภาวะวิกฤติ สมดังคำกล่าวของ Hagar (2012: 6) ในตอนท้ายของบทนำของหนังสือซึ่งเป็นสิ่งที่ยากจะปฏิเสธว่า: “โลกของเรากำลังเผชิญหน้ากับหายนะภัยเพิ่มมากขึ้น และเราจำเป็นต้องเตรียมพร้อมสำหรับสภาวการณ์ต่างๆ ที่หลากหลาย ทั้งที่คาดการณ์ได้ และคาดการณ์ไม่ได้” รายการอ้างอิง พูนลาภ ชัชวาลโฆษิต. “วิกฤติน้ำท่วม กับการบูรณาการสารสนเทศ.” e-Leader 22, 273 (2554): 54-59. Hager, Chris. “Introduction: Crisis Informatics.” Bulletin of the American Society for Information Science and Technology 36, 5 (2010): 10-12. Hagar, Christine, ed. Crisis Information Management: Communication and Technologies. Oxford: Chandos Publishing, 2012. Glushko, Robert J., ed. The Discipline of Organizing. Cambridge, Mass: The MIT Press, 2013. ISBN: 978-0-262-51850-5; 540 p.
There are many new types of information resources created in cyberspace that need to be organized for the purposes of accessing and using these resources later on. Approaches of cataloging and classification have been evolved over the years into the organization of information which are aligned with the management of digital assets. Terms, concepts, and techniques from other disciplines in relation to the cataloging and classification in the LIS field have been widely accepted among our profession, for instance, metadata, ontology, taxonomy, tagging, and so on. In fact, some of these emerging areas of study are not totally new to information professionals who are traditionally responsible for organizing information resources. Some emergence seems rather to be the rediscovery of the LIS wheel (Lancaster, 2003: x). However, for me, several newborn concepts are full of technology-based methods (e.g. automatically generated metadata and machine learning approaches to tagging), so that they become a perfect complement to the advancement of information organization. Today, we are adapting interesting theories from other domains including computer science, cognitive science, law, and business to suit the particular features and needs of the organization of information (see ‘Structures for Organizing Knowledge: Exploring Taxonomies, Ontologies, and Other Schema’ by Abbas (2010) for example). Such adaptation leads to the diversity and complexity of multiple paradigms in the contexts in this study area. As the area matures, many academics and experts start making inroads into the development of conceptual frameworks for the discipline of information organization. ‘The Discipline of Organizing’ edited by Robert J. Glushko is an original book of making an attempt to draw upon the most applicable and worthwhile concepts of organizing, analysis, and design of information resources or collections. It is a collaborative effort by all the seven principal authors and 11 content contributors synthesizing vitally important aspects of information organization and retrieval, i.e. the two disciplines of LIS and computer science, on the basis of their different backgrounds — anyway many of them are the previous postgraduates in information management and systems program at the University of California, Berkeley. I personally give Glushko credit for editing and combination of various chapters of the book. He tries to establish every essential part of information organization and retrieval topics within his conceptual framework for organizing systems. This book begins with all foundations for organizing systems that explain a broad outline of merging the LIS content with ideas from other fields of study contributing to the discipline of information organization. According to the book editor, the Organizing system is defined as ‘an intentionally arranged collection of resources and the interactions they support’ (The Discipline of Organizing, 2013: 1-2). The first chapter also gives an overview needed to understand, ranging from the boundary to design decisions in organizing systems. The remaining chapters of the book unfold concepts, issues, and methods as follows: Chapter 2 Activities in Organizing Systems Chapter 3 Resources in Organizing Systems Chapter 4 Resource Description and Metadata Chapter 5 Describing Relationships and Structures Chapter 6 Categorization: Describing Resource Classes and Types Chapter 7 Classification: Assigning Resources to Categories Chapter 8 The Forms of Resource Descriptions Chapter 9 Interactions with Resources Chapter 10 The Organizing System Roadmap Each chapter had seven distinctive features added: 1) brief table of contents including page numbers 2) important terms liked to Glossary that correspond to the boldfaced words in the chapters 3) grey boxes clarifying the fundamental principles with practical application 4) useful figures and tables 5) excerpts from handbooks as examples 6) key points as summaries at the end of each chapter, and 7) special endnotes sections of every chapter. For the last feature, I admire Glushko again for dividing the endnotes into six types to help book audience from different academic programs understand the different organizing disciplines. Those types include general citations and five domain-specific citations — LIS, computing, cognitive science, law, and business. For me, highlights of the book show in the two final chapters. Chapter 9 provides a new explanation of interactions with resources in different information organizations or settings such as libraries, museums, and retail supply chains. Other issues — determination, resource organization, implementation and evaluation of interactions — are also discussed in this chapter. I think that its all co-authors apply the design-science paradigm to develop an innovation of organizing systems from several information environments in a practical way. In Chapter 10, I am interested in four case studies which are reported as examples of the roadmap or the organizing system lifecycle. It consists of five big questions to be answered when arranging both physical and digital resources: · What is being organized? · Why is it being organized? · How much is it being organized? · When is it being organized? · How (or by Whom) is it organized? The cases embrace a multigenerational photo collection, knowledge management for a small consulting firm, Japanese farms looking to the cloud computing, and single-source textbook publishing. At the end of this chapter, the book audience are invited to write their own case studies and share their experiences of organizing on the website: http://disciplineoforganizing.org/ Overall, this book offers some fresh insights into integrative knowledge of information organization and retrieval. Glushko, as the editor, endeavors to create the discipline of organizing systems from two domains, i.e. LIS and computer science although I sense that he tends to compose this masterwork by emphasizing the latter more obviously than the former. It is not surprising because he has had a background in computing systems for many years. His previous work written with Tim McGrath (2005) ‘Document Engineering: Analyzing and Designing Documents for Business Informatics and Web Services’, as well as the latest book reviewed here, undoubtedly reflects his considerable expertise in information systems and service design. References Abbas, J. Structures for Organizing Knowledge: Exploring Taxonomies, Ontologies, and Other Schemas. New York: Neal-Schuman Publishers, 2010. Glushko, R.J. & McGrath, T. Document Engineering: Analyzing and Designing Documents for Business Informatics and Web Services. Cambridge, Mass: The MIT Press, 2005. Glushko, R.J., ed. The Discipline of Organizing. Cambridge, Mass: The MIT Press, 2013. Lancaster, F.W. Indexing and Abstracting in Theory & Practice. 3rd ed. London: Facet, 2003. มาปริทัศน์วรรณกรรมอย่างเป็นระบบกันเถอะ: Systematic Approaches to a Successful Literature Review7/10/2013 ![]() Booth, A., Papaioannou, D., and Sutton, A. Systematic Approaches to a Successful Literature Review. London: Sage Publications, 2012. (279 p.) As a dissertation supervisor for LIS masters students, one of essential tasks I have never forgotten suggesting them to do from the outset is to review some literature and previous research. Processes of this review seem to be iterative rather than linear in nature. There are at least four benefits we can obtain from conducting a literature review as I can recall at this moment :-) 1) The relevant literature is a core information resource for the students to find research gaps and generate sound research questions in their study areas of interest. 2) The prior knowledge of the fields helps them develop testable hypotheses or reasonable conceptual frameworks on the theoretical basis. 3) The previous studies guide the students to choose as well as design their suitable methods of data collection and analysis. 4) Some evidence of the related research can be used to confirm or contrast with our findings from inquiries when writing a discussion chapter. Unfortunately, we cannot fully get the above-mentioned advantages if we still have kept doing our review of literature without explaining readers how we find, select, and apply these pieces of the relevant literature to our research! In other words, conducting a traditional or narrative review may not be sufficient for making our work look transparent and rigorous. I mean that we should urge our students to employ systematic approaches while undertaking their literature reviews nowadays. Reviewing previous studies systematically, however, is not easy in practice. They need some helpful books that they can easily follow steps-by-steps even if we, as supervisors, always teach them in our research methods classes. What I want to recommend for this purpose is Booth, Papaioannou, and Sutton’s book “Systematic Approaches to a Successful Literature Review” published by Sage Publications. One of the authors, Andrew Booth, just received the Scan Award 2012/13 winners from Library and Information Research Group Chartered Institute of Library and Information Professionals in the United Kingdom. This book is divided into 10 chapters. They are as follows: Chapter 1 - The Literature Review: Its Role within Research Chapter 2 - Systematic Approaches to the Literature Chapter 3 - Planning and Writing a Literature Review Chapter 4 - Defining the Scope Chapter 5 - Searching the Literature Chapter 6 - Assessing the Evidence Base Chapter 7 - Synthesising Included Studies Chapter 8 - Analysing the Findings Chapter 9 - Writing up and Presenting Data Chapter 10 - Managing the Literature Project Each chapter has its own exercise that readers can use it to check their understanding after learning. There are also lots of sources as good examples given at the end of each chapter that audiences can read further by themselves. Generally, advanced textbooks always rely on Cochrane Handbook for Systematic Reviews of Interventions in Health Care (2008). Sometimes they provide many complicated techniques in connection with evidence-based synthesis (see Petticrew & Roberts 2005), or meta-analysis (see Cooper 2010). This makes them suitable for experienced investigators who seriously treat their systematic reviews as a ‘research methodology.’ The book “Systematic Approaches to a Successful Literature Review” differs markedly from others in terms of its focus. This book, on the other hand, is appropriate for beginners who just want to perform literature reviews in a ‘systematic way’. It simply emphasizes how novice researchers can do to complete various types of reviews systematically. Because there are several approaches possible to apply up to 14 review types, I suggest that readers have to make a decision on what kinds of reviews they aim to do first, such as a critical review, scoping review, state-of-the-art review, and so on. This book will be useful if the readers have a clear type of literature review they really want to conduct in mind, and then choose some systematic approaches to search, appraisal, synthesis, analysis, and presentation of their literature reviews. According to the authors of this book, all literature reviews, in essence, can be systematic (no need to call it ‘a systematic review’) by keeping a certain review question, describing methods of locating previous studies, proposing explicit criteria for including and excluding relevant literature, and evaluating the quality of the selected studies (Booth, Papaioannou, and Sutton 2012: 11, 14). Let’s try adding value to our literature reviews with systematic techniques now! References Cochrane Handbook for Systematic Reviews of Interventions. Chichester: John Wiley & Sons, 2008. Cooper, H. Research Synthesis and Meta-Analysis. 4th ed. Los Angeles: Sage Publications, 2010. Petticrew, M. & Roberts, H. Systematic Reviews in the Social Sciences: A Practical Guide. Malden, MA: Wiley-Blackwell, 2005. ![]() Bawden, David, and Robinson, Lyn. Introduction to Information Science. London: Facet Publishing, 2012. Bawden and Robinson’s the latest textbook is a pleasure to read because they depict historic dimensions, philosophical paradigms, basic concepts, theoretical domains, and substantive aspects of information science (s) with such clarity and precision. The key readings and references provided in each chapter, including additional resources at the final section of this book, are noteworthy for delving into further information on the basis of personal interests. Bawden and Robinson’s “Introduction to Information Science” is different from the others in the market because of its emphasis. Since the authors intend to focus on basic principles and theories of information science (s) rather than easily out-of-date issues, this makes their book can be one of the long-lasting key readings used in the information science (s) classroom. ผมเคยอ่านหนังสือประเภท “สารนิเทศศาสตร์เบื้องต้น” และ“บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์เบื้องต้น” ของ Rubin (2010) และ Vickery and Vickery (2004) มาบ้าง สมัยเมื่อครั้งยังทำวิจัยปริญญาเอกที่ Department of Information Studies, University of Sheffield สหราชอาณาจักร 4 ปีก่อน ไม่ใช่อะไรหรอกครับ บ้างครั้งเวลาที่ตนเองกำลังสนใจศึกษาหัวข้อหรือประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสารนิเทศ ผมก็มักจะเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า หัวข้อนั้นๆ มัน “อยู่ตรงส่วนใด” (aspects) ของ “บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์” กันแน่ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเกิดขึ้นของเหตุการณ์เส้นผมบังภูเขา ดังเช่นสำนวนภาษาอังกฤษที่ว่า “Can’t see the wood for the tree” กล่าวคือ ผมเกรงว่าความสนใจในรายละเอียดของหัวข้อของตนเองมากจนเกินไป จะก่อให้เกิดการมองข้ามสิ่งที่เป็น “ภาพรวม” ทั้งหมดที่หัวข้อนั้นๆ ไปสัมพันธ์ด้วย อันตรายเหมือนกันนะครับกับการที่นักวิชาการ/นักวิจัยกระโจนเข้าใส่หัวข้อที่จะทำการศึกษาทันทีโดยปราศจากความรู้และความเข้าใจในศาสตร์ที่ตนเข้าไปสัมพันธ์เกี่ยวข้องด้วย เพราะฉะนั้นตำราจำพวก “สารนิเทศศาสตร์เบื้องต้น” และ“บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์เบื้องต้น” จึงมีความสำคัญในฐานะสื่อการสอนในชั้นเรียนของโรงเรียนบรรณารักษศาสตร์/โรงเรียนสารนิเทศ โดยส่วนตัวแล้ว ผมว่าหนังสือของ Rubin (2010) และ Vickery and Vickery (2004) ต่างก็มีข้อจำกัด ซึ่งชี่อเรื่องแรกนั้นบอกได้เลยว่าเนื้อหาค่อนข้างย่อยยาก และไม่ทิ้งกลิ่นอายของความเป็น “บรรณารักษศาสตร์” ในขณะที่ชื่อเรื่องเล่มสองนั้น ถึงแม้ว่าจะเขียนเน้นหนักไปทาง “สารนิเทศศาสตร์” แต่ก็ค่อนข้างล้าสมัย (เกือบสิบปีแล้ว) แต่ในที่สุดผมก็ได้มีโอกาสอ่านหนังสือร่วมสมัยแนว “สารนิเทศศาสตร์เบื้องต้น” ฉบับล่าสุดที่มีในท้องตลาด (ปี 2012) นั่นก็คือ Bawden, David, and Robinson, Lyn. Introduction to Information Science. London: Facet Publishing, 2012. ซึ่งผมได้ปริทัศน์ นำเสนอ เชิญชวนให้อ่าน พร้อมทั้งแบ่งปันสาระที่ได้รับจากหนังสือให้ผู้ติดตามคอลัมน์นี้ได้รับทราบกัน หนังสือ Introduction to Information Science เล่มนี้ แบ่งออกได้เป็นสี่ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ ส่วนนำ ส่วนประวัติความเป็นมา แนวคิด และทฤษฎี ส่วนขอบเขตเนื้อหาของสารนิเทศศาสตร์ และส่วนอภิปรายพร้อมภาคผนวก ส่วนนำ เป็นการตีพิมพ์บทวิพากษ์ ซึ่งแสดงความคิดเห็นของกูรูในสาขาวิชาสารนิเทศศาสตร์หกคนจากห้าประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา เดนมาร์ก ฝรั่งเศส และสโลวีเนีย ในเชิงของสถานภาพ ขอบเขต และทิศทางของสาขาวิชา โดยส่วนตัวแล้ว ผมค่อนข้างชอบอารัมภท (Forewords) ของ Andrew Dillon จาก School of Information, University of Texas เรื่อง The emerging discipline of information ตรงส่วนที่สรุปคุณสมบัติของการเป็น iSchool อย่างแท้จริง ดังนี้ 1. ไม่มีศาสตร์ใดที่ผูกขาดทฤษฎีและระเบียบวิธีวิจัยเพื่อการศึกษาสารนิเทศแต่เพียงศาสตร์เดียว คณาจารย์ในโรงเรียนสารนิเทศต้องมาจากสาขาวิชาต่างๆ ที่หลากหลาย และพร้อมที่จะร่วมกันศึกษาสารนิเทศแบบบูรณาการ 2. ทำความเข้าใจในตัวสารนิเทศที่สื่อสารผ่านเทคโนโลยีไปยังผู้ใช้สารนิเทศ โดยไม่จำกัดบริบทแวดล้อมว่าต้องอยู่แต่เฉพาะภายในห้องสมุด หอจดหมายเหตุ พิพิธภันฑ์ ฯลฯ เท่านั้น 3. ทำวิจัยเพื่อแสวงหาคำตอบที่เกี่ยวข้องกับสารนิเทศให้ครอบคลุมทุกแง่ทุกมุมของมนุษย์ในฐานะผู้ใช้สารนิเทศ Andrew Dillon เห็นว่า ข้อ 2 นั้นยากที่สุดสำหรับสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนในสาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์แบบดั้งเดิม (ซึ่งก็รวมถึงภาควิชาบรรณารักษศาสตร์ จุฬาฯ ด้วยเช่นกัน ที่ยังต้องเดินทางอีกยาวไกล กว่าจะมีคุณสมบัติของการเป็น iSchool ครบถ้วน) ส่วนประวัติความเป็นมา แนวคิด และทฤษฎี ประกอบด้วยห้าบทเรียงตามลำดับ ได้แก่ บทที่ 1 สารนิเทศศาสตร์ที่ดำรงความเป็นสาขาวิชาและความเป็นวิชาชีพ บทที่ 2 พัฒนาการของสารนิเทศ บทที่ 3 ปรัชญาและกระบวนทัศน์ของสารนิเทศศาสตร์ บทที่ 4 แนวคิดพื้นฐานของสารนิเทศศาสตร์ บทที่ 5 การวิเคราะห์ขอบเขตเนื้อหา (Domain analysis) ในสารนิเทศศาสตร์ ส่วนขอบเขตเนื้อหาของสารนิเทศศาสตร์ แบ่งย่อยออกเป็นแปดบท ซึ่งถือว่าเป็นการอธิบายขยายความต่อจากบทที่ 5 ว่ารายละเอียดในแต่ละขอบเขตเนื้อหาของสารนิเทศศาสตร์ที่นักวิชาการ/นักวิจัยในศาสตร์นี้มุ่งศึกษามีอะไรบ้าง ดังนี้ บทที่ 6 การจัดระบบสารนิเทศ บทที่ 7 เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสร้าง เผยแพร่ และค้นคืนสารนิเทศ บทที่ 8 มาตรวัดสารนิเทศ (Infometrics) บทที่ 9 พฤติกรรมสารนิเทศ บทที่ 10 การสื่อสารสารนิเทศ บทที่ 11 สังคมสารนิเทศ บทที่ 12 การจัดการและนโยบายสารนิเทศ บทที่ 13 การรู้สารนิเทศในยุคดิจิทัล (Digital literacy) ส่วนอภิปรายพร้อมภาคผนวก ส่วนสุดท้ายนี้ประกอบด้วยสองบทกับอีกหนึ่งภาคผนวก คือ บทที่ 14 การวิจัยในสารนิเทศศาสตร์ บทที่ 15 อนาคตของสารนิเทศศาสตร์ ภาคผนวกรวมรายชื่อทรัพยากรแนะนำเพื่อการค้นคว้าเพิ่มเติม (ตำราเรียน วารสาร สาระสังเขปและดรรชนี และแหล่งอ้างอิง) สำหรับผมแล้ว การเขียนหนังสือให้มีเนื้อหาที่ให้ภาพกว้างๆ แต่ต้องครอบคลุมหัวใจสำคัญของสารนิเทศศาสตร์นั้น ต้องใช้ความสามารถและความพยายามเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งหนังสือ Introduction to Information Science ของ David Bawden และ Lyn Robinson เรียบเรียงเนื้อดังกล่าวออกมาได้เป็นอย่างดี ย่อยง่าย เพราะแต่ละบทมีการวาง outline ที่เป็นระบบ โดยขึ้นต้นบทด้วยบทนำ ตามด้วยเนื้อหา ตามด้วยบทสรุป ตามด้วยแหล่งค้นคว้าหลัก (Key readings) และปิดท้ายด้วยรายการอ้างอิง เป็นอย่างนี้ทุกบท ทำให้ผู้อ่านสามารถเลือกอ่านและติดตามเนื้อหาได้โดยสะดวกและง่ายดาย อีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นจุดเด่นที่ช่วยผู้อ่านในการจับประเด็นสำคัญที่ยุ่งยากซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือ ผู้แต่งได้มีการทำสรุปย่อประเด็นสำคัญในรูปแบบของ Summary boxes และสอดแทรกภาพประกอบให้เห็นเป็นระยะๆ เมื่อกระโดดไปอ่านบทสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้ที่ว่าด้วยอนาคตของสารนิเทศศาสตร์ เพื่อมองหาข้อคิดเห็น (ส่วนตัว) ของผู้แต่งหนังสือทั้งสองท่าน ทันทีที่อ่านจบ ผมก็ยิ้มออกมาด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความหวังว่า สารนิเทศศาสตร์ (รวมถึงบรรณารักษศาสตร์ด้วย) จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญทั้งสองท่านนั้น ยังมีอนาคตที่สดใส แม้ว่าอาจคาดเดาได้ยากว่าความเปลี่ยนแปลงในองค์ความรู้ของสาขาวิชานี้จะเป็นเช่นไรต่อไป ความท้าทายของนักวิชาการ/นักวิจัยในสารนิเทศศาสตร์จึงมิใช่เป็นการพยายามที่จะทำให้ประเด็นสำคัญทั้งหลายซึ่งเกี่ยวข้องกับการศึกษาสารนิเทศเข้ามารวมอยู่ใน หรืออ้างว่าเป็นของสาขาวิชา “สารนิเทศศาสตร์” แต่โจทย์ที่ท้าทายตามความเห็นของ David Bawden และ Lyn Robinson ที่จำเป็นยิ่งกว่าก็คือ ทำอย่างไรจึงจะทำให้ความสำคัญของสารนิเทศศาสตร์เป็นที่ตระหนัก ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง รวมถึงถูกนำไปปรับใช้ได้ในทุกบริบทที่มีการใช้สารนิเทศเกิดขึ้น รายการอ้างอิง Rubin, Richard E. (2010). Foundations of Library and Information Science. 3rd ed. New York: Neal-Schuman. Vickery, Brian, C. and Vickery, A. (2004). Information Science in Theory and Practice. 3rd ed. Munich: K.G. Saur. พันธกิจใหม่ของบรรณารักษ์ในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง (New mission of librarians in the changing world)27/2/2013 ![]() Lankes, R. David. The Atlas of New Librarianship. Cambridge: The MIT Press, 2011. This post gives you some selected ideas of the mission thread. It also includes the conversation theory and other relevant concepts, e.g. dialectic theories and sense-making, that influence library and information professionals to re-think their roles as a moderator as well as a facilitators enabling users in communities to create knowledge. According to Lankes's participatory research, the librarians' responsibilities have to be changed from dealing with collections to making groups of people have knowledge-generated conversations. แนวคิดหลักต่างๆ ที่ R. David Lankes ผู้แต่งหนังสือ The Atlas of New Librarianship เล่มนี้ นำมาใช้ในการเรียบเรียงเนื้อหา ได้มาจากการตระเวนเก็บรวมรวมข้อมูลยังสถานที่ต่างๆ กว่า 29 แห่งใน 3 ทวีป (แต่ไม่ทราบว่าทวีปใดบ้าง เพราะผู้แต่งไม่ได้ระบุไว้) เพื่อพบปะ พูดคุย สนทนา และสัมภาษณ์บรรณารักษ์ ตลอดจนนักวิชาการจากโรงเรียนบรรณารักษ์ 14 แห่ง ร่วมหลายร้อยคน นอกจากนี้ยังได้ประมวลความคิดและสังเคราะห์เนื้อหาที่ได้กลั่นกรองจากการนำเสนอผลงานทางวิชาการ 25 ครั้ง ในการประชุมทางวิชาการ 50 ครั้ง รวมถึงเลือกสรรรรายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิชาชีพบรรณารักษ์จากสิ่งพิมพ์จำนวน 14 รายการ ข้อมูลที่นำมาใช้ในการเขียนหนังสือเล่มนี้จึงมาจากองค์กรขนาดใหญ่และเล็ก ครอบคลุมห้องสมุดทุกประเภท สมาคมวิชาชีพทั้งในระดับเมือง ภูมิภาค ประเทศ และนานาชาติ รวมทั้งมากจากตัวแทนกลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิชาชีพบรรรณารักษ์ไล่เรียงมาตั้งแต่ นักศึกษาปริญญาโท-เอก บรรณารักษ์ นักกฎหมาย นักประวัติศาสตร์ นักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ นักลงทุนในตลาดหุ้น และครู/อาจารย์ ซึ่ง R. David Lankes เรียกผลลัพธ์จากการประมวลเพื่อเรียบเรียงเนื้อหาสำหรับหนังสือดังกล่าวว่า “participatory librarianship” หรือ “วิชาชีพบรรณารักษ์แบบมีส่วนร่วม” เพราะตามแนวคิดหลักที่นำเสนอผ่านข้อใหญ่ใจความ: “พันธกิจของบรรณารักษ์คือการทำสังคมให้ดีขึ้นด้วยการเอื้อให้เกิดการสร้างสรรค์ความรู้ในชุมชนที่บรรณารักษ์ให้บริการอยู่” (THE MISSION OF LIBRARIANS IS TO IMPROVE SOCIETY THROUGH FACILITATING KNOWLEDGE CREATION IN THEIR COMMUNITIES) นั้น ผู้เขียนหนังสือได้ย้ำไว้อย่างชัดเจนว่า มิใช่ความคิดส่วนตัวของผู้เขียน แต่เก็บเกี่ยวมาจากความคิดเห็นและประสบการณ์จากบุคคลกลุ่มต่างๆ ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาวิชาชีพบรรณารักษ์ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “การดำรงอยู่” ของวิชาชีพนี้ ที่นี้เรามาดูในรายละเอียดของแนวคิดหลักจำนวน 6 เรื่อง ได้แก่
ซึ่งนำเสนอผ่านแผนที่วิชาชีพในแต่ละองค์ประกอบกันดีกว่า โดยผมจะขอสรุปย่อด้วยการเริ่มที่”พันธกิจ”ก่อนนะครับ จากข้อความพันธกิจที่ว่า : “พันธกิจของบรรณารักษ์คือการทำสังคมให้ดีขึ้นด้วยการเอื้อให้เกิดการสร้างสรรค์ความรู้ในชุมชนที่บรรณารักษ์ให้บริการอยู่” เป็นข้อความที่แสดงถึงหน้าที่ความรับผิดชอบส่วนบุคคลของผู้ประกอบวิชาชีพสารนิเทศและห้องสมุดอย่างแท้จริง เมื่อใดก็ตามที่บรรณารักษ์ต้องตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ เช่น การถูกตัดงบประมาณแล้วต้องเลือกให้บริการสารนิเทศเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น การพิจารณาเปิดให้บริการนอกเวลาทำการ การบอกรับฐานข้อมูลราคาแพง ฯลฯ หากบรรณารักษ์ได้นึกถึงข้อความในพันธกิจก็จะช่วยให้บรรณารักษ์ “เลือก” แนวทางที่ถูกต้องเหมาะสมได้ดียิ่งขึ้น ที่นี้ข้อความพันธกิจดังกล่าวข้างต้นอันเป็นสาระสำคัญที่หนังสือเล่มนี้ต้องการจะนำเสนอนั้น สิ่งที่ R. David Lankes ต้องการจะบอกแก่ผู้อ่านก็คือ ถึงคราวที่เราต้องปรับเปลี่ยนมุมมองความคิดจากบรรณารักษ์ที่มีโลกทัศน์ที่มุ่งเน้นคอลเล็กชั่น ทรัพยากรสารนิเทศ หรือวัสดุสารนิเทศ (Artifacts-centric worldview) เพียงอย่างเดียว มาเป็นบรรณารักษ์ที่มองตนเองเป็นผู้ประสาน (Moderators) และผู้เอื้อ (Facilitator) ให้ผู้รับบริการสามารถสร้างสรรค์ความรู้ด้วยตนเองได้ ตัวอย่างงานในฐานะผู้ประสานและผู้เอื้อที่เป็นรูปธรรม เช่น การจัดทำเครื่องมือสืบค้น การจัดระบบสารนิเทศ และการสงวนรักษาสารนิเทศที่เป็นภูมิปัญญาของชาติ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ว่าในอนาคตบรรณารักษ์อาจจะไม่ต้องจัดการกับ ”ตัว”ทรัพยากรสารนิเทศ ชั้นหนังสือ ที่นั่งอ่าน ฯลฯ แต่คุณค่าของบรรณารักษ์ก็มิได้เสื่อมสลายไปด้วย เพราะพันธกิจของวิชาชีพนี้มิได้ยึดติดกับ “วัสดุ” หรือ “สื่อ” สารนิเทศที่ล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา หากบทบาทในการประสานและการสนับสนุนการเรียนรู้ของผู้ใช้สารนิเทศยังคงอยู่อย่างยั่งยืนตลอดไป เหลียวกลับมามองที่ทฤษฎีเบื้องหลังต่างๆ ซึ่งเป็นที่มาของพันธกิจใหม่ในวิชาชีพบรรณารักษ์กันบ้าง ผู้เขียนหนังสือได้อธิบายทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบใหม่ของผู้ประกอบวิชาชีพสารนิเทศ ซึ่งได้แก่ ทฤษฎีการสนทนาที่เน้นการเรียนรู้และความรู้ (Conversation theory: ทรัพยากรและการเข้าถึงสารนิเทศจะมีประโยชน์ในสังคมที่อุดมไปด้วยผู้ใช้สารนิเทศที่ใฝ่รู้ (Active learning) ซึ่งสนทนากันในรูปแบบต่างๆ อาทิ ผ่านตัวหนังสือ ผ่านการพูดคุย ผ่านช่องทางการสื่อสาร และสร้างองค์ความรู้จากการสนทนานั้น บรรณารักษ์จึงต้องประสานและเอื้อให้ผู้ใช้สารนิเทศเกิดการสนทนา โดยวิชาชีพนี้จะทำหน้าที่จัดการ ชี้แหล่ง และให้บริการสารนิเทศที่น่าเชื่อถือ (Credibility) แก่ผู้ใช้) นอกจากนี้ยังมีแนวคิดและทฤษฎีอื่นที่น่าสนใจ แต่ผมไม่ขอลงรายละเอียด ตัวอย่างเช่น กลุ่มทฤษฎีการเรียนรู้ของมนุษย์ (Dialectic theories) แนวคิดการทำความเข้าใจและวิธีการสื่อสารความคิดของปัจเจกบุคคล (Sense-making) ทฤษฎีแรงจูงใจ ปรัชญาเชิง Constructivism และ Postmodernism ตามลำดับ จากการที่พันธกิจของบรรณารักษ์จำเป็นต้องเน้นไปที่การส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการสารนิเทศเกิดการเรียนรู้ มากกว่าการให้บริการหนังสือและสื่อการอ่าน (แบบตั้งรับ: passive) ทำให้เกิดวิวัฒนาการของข้อตกลงทางสังคมขึ้นมาใหม่ (New social compact) เช่น บทบาทของห้องสมุดประชาชนอาจจะเพิ่มขึ้นจากการให้ประชาชนเข้าถึง “หนังสือ” อย่างเท่าเทียมตามหลักประชาธิปไตย ขยับมาเป็นห้องสมุดในฐานะสถาบันหนึ่งทางสังคมที่เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการ “อินเทอร์เน็ต” อย่างทั่วถึงกัน ดังนั้น โรงเรียนบรรณารักษ์จึงจำเป็นต้องผลิตบัณฑิตในสาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ที่ตระหนักในพันธกิจของการประสานและการเอื้อ เพื่อป้อนตลาดงานที่ต้องการวิชาชีพบรรณารักษ์สำหรับสนับสนุนการเร่งสร้างและพัฒนาสังคมฐานความรู้ (knowledge-based society) ![]() องค์ประกอบที่ปรากฏบนแผนที่ Lankes, R. David. The Atlas of New Librarianship. Cambridge: The MIT Press, 2011. Interestingly, this guide book represents key concepts of new librarianship that fit the changing landscape of library and information practitioners perfectly. Its visual presentation in form of a map helps readers can navigate complex foundations of library practices in the American context. It is one of great books in the field of library profession that you can not miss. ผลงานเขียนของ Associate Professor R. David Lankes แห่ง Syracuse University's School of information Studies เล่มนี้ ได้รับรางวัลหนังสือยอดเยี่ยม ABC-CLIO/Greenwood Award ในสาขาวรรณกรรมห้องสมุด เมื่อปี 2012 จากสมาคมห้องสมุดอเมริกัน (http://www.ala.org/news/pr?id=9509) ผู้อ่านหลายคนคงอาจเคยอ่านงานเขียนในเนื้อหาเกี่ยวกับสถานภาพ แนวโน้ม และภาพลักษณ์ของวิชาชีพบรรณารักษ์กันไม่มากก็น้อยนะครับ แต่สำหรับหนังสือเล่มนี้ ผมขอใช้คำว่า "พลิกโฉม" เพราะ R. David Lankes ได้นำเสนอบทบาท/หนัาที่ ความรับผิดชอบอันน่าภาคภูมิใจของวิชาชีพบรรณารักษ์ ที่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในสังคมสมัยใหม่ ที่สภาพแวดล้อมทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี (ในบริบทแบบอเมริกัน แต่นอนมันก็อาจจะเข้ากันได้กับบริบทแบบไทยได้เช่นกัน เพราะเดี๋ยวนี้โลกแคบเนื่องจากความรวดเร็วในการติดต่อสื่อสาร และถ่ายโอนข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต) ส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อ "การดำรงอยู่" ของวิชาชีพบรรณารักษ์ ก่อนจะว่าด้วยเรื่องเนื้อหาของหนังสือ ในตอนที่ 1 นี้ ผมขอบอกเล่ารูปแบบการนำเสนอเนื้อหาของ R. David Lankes ทีแตกต่างจากหนังสือในหมวดเดียวกันเล่มอื่น นั่นคือผู้แต่งหนังสือได้ร้อยเรียงเรื่องราวของความเป็นวิชาชีพในลักษณะของการนำทางผู้อ่านจากเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง (เพราะมันสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน) ด้วยสมุดแผนที่ (Atlas) แล้วจากนั้นจึงค่อยๆ ขยายความใจความหลักที่ผู้เขียนต้องการจะนำเสนอแนวคิดต่อผู้อ่านที่อยู่ในวิชาชีพบรรณารักษ์ นั่นก็คือ "พันธกิจของบรรณารักษ์ (สมัยใหม่) คือการทำสังคมให้ดีขึ้น ด้วยการเอื้ออำนวย ให้เกิดการสร้างสรรค์ความรู้ ให้เกิดขึ้นภายในชุมชนที่บรรณารักษ์ให้บริการอยู่" (The mission of librarians is to improve society through facilitating knowledge creation in their communities) ดังนั้น รายละเอียดในหนังสือจึงร้อยเรียงโดยผูกทั้ง 6 แนวคิดเข้ามาไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืนไล่ไปตั้งแต่ 1) พันธกิจ 2) การสร้างสรรค์ความรู้ 3) การเอื้ออำนวย 4) ชุมชน 5) การทำสังคมให้ดีขึ้น และปิดท้ายด้วย 6) ตัวบรรณารักษ์เอง ด้วยปริมาณของเนื้อหาในแต่ละแนวคิดมีจำนวนค่อนข้างมาก ซับซ้อน และเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน จึงทำให้เนื้อหาของหนังสือค่อนข้างที่จะกลับไปกลับมา ค่อนข้างยากที่จะอ่านตั้งแต่หน้าแรกจนไปถึงหน้าสุดท้ายได้ บ่อยครั้งทีเดียวที่ผมเองก็ต้องพลิกกลับไปอ่านหน้านู้นที หน้านั้นที ทำให้ไม่สามารถอ่านได้อย่างต่อเนื่องเหมือนที่เคยชินมา เพื่อช่วยผู้อ่านให้สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น R. David Lankes จึงได้อธิบายองค์ประกอบที่ปรากฏอยู่ภายใน "สมุดแผนที่ของวิชาชีพบรรณารักษ์สมัยใหม่" จำนวน 6 องค์ประกอบ ดังนี้ Agreement = ข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับขอบเขตของวิชาชีพบรรณารักษ์ เช่น ลักษณะของทักษะวิชาชีพ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง การปฏิบัติงาน ตัวอย่าง ฯลฯ Relationships = ความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยง "ข้อตกลงร่วม" เอาไว้ด้วยกันภายใต้บริบทใดบริบทหนึ่ง Threads = การบอกเล่าเรื่องราวของแนวคิดหลัก ( พันธกิจ การสร้างสรรค์ความรู้ การเอื้ออำนวย ชุมชน การทำสังคมให้ดีขึ้น และตัวบรรณารักษ์) ที่อธิบายในสมุดแผนที่ Map = การนำเสนอในรูปแบบทัศนศิลป์ที่ทำหน้าที่คล้ายดรรชนี (เส้นรุ้ง เส้นแวง ที่กำหนดพิกัดของสมุดแผนที่) ในการนำผู้อ่านให้สามารถค้นพบและนำทางไปสู่ความเข้าใจในสาขาวิชาชีพบรรณารักษ์ได้ Atlas = ภาพรวมทั้งหมดของหนังสือ The Atlas of New Librarianship สำหรับตอนที่ 2 ในบทแนะนำหนังสือเล่มนี้ ผมจะได้สรุปเนื้อหาที่น่าสนใจจากผลงานของ R. David Lankes มาให้อ่านกันต่อครับ โปรดติดตาม Clark, T., Osterwalder, A. & Pigneur, Y. Business Model You: A One-Page Method For Reinventing Your Career. Hoboken, NJ: John Wiley & Sons, 2012.
จริงๆ แล้วหนังสือ BMYOU นั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทางบวก และได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้อ่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าของ Amazon กระแสอาจจะดีกว่าหนังสือเล่มแรกอย่าง BMGen ด้วยซ้ำ ทีนี้เรามาพิจารณาเนื้อหาในหนังสือ BMYOU กันบ้างว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง ในหนังสือนี้จะแบ่งเนื้อหาออกเป็น 5 ส่วนหลัก ครับ ส่วนที่ 1 Canvas: เป็นการแนะนำ Business Model ให้ผู้อ่านได้รู้จักกับเครื่องมือนี้อย่างคร่าวๆ และคนที่อาจได้เคยอ่าน BMGen และได้ทดลองใช้ Canvas กันมาบ้าง แต่จะอธิบายละเอียดว่า Canvas นำมาใช้เพื่อพัฒนาตนเองได้ด้วย นอกเหนือจากการพัฒนาองค์กร/หน่วยงาน ส่วนที่ 2 Reflect: จะนำเสนอวิธีการใช้เครื่องมือมาช่วยในการกำหนดเป้าหมายในอาชีพและการงานของเรา มิให้เราต้องมาเสียเวลาหาทิศทางชีวิตอย่างสะเปะสะปะ ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง ส่วนที่ 3 Revise: เป็นการสอนให้นำเป้าหมายที่เราตั้งใจจะเลือกเดินมาใส่ไว้ใน Canvas ในลักษณะของแผนที่ชีวิตงาน หากเราใช้ GPS นำทางยามขับรถหรือเดินทาง Personal Business Model ก็เป็นเครื่องนำทางในยามทำงาน ปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ และสร้างสมดุลย์ในชีวิตครับ ส่วนที่ 4 Act: ถือว่าเป็น highlight สำหรับผมเลย เพราะอ่านและทดลองทำโมเดลของตัวเองขึ้นมาแล้ว ก็ถึงคราวที่จะต้องมาเรียนรู้ว่าจะทำฝันที่ปรากฏบนผืนผ้าใบให้มันเกิดเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร ส่วนที่ 5 Extras: ใครที่อยากทราบเบื้องหลังการทำงานของกลุ่มบุคคลและทรัพยากรที่ใช้ในการรังสรรค์ BMYOU ภูมิหลัง และแรงบันดาลใจกว่าที่จะทำให้เราได้รู้จักและทดลองใช้เครื่องมือนี้ ลองใช้เวลาสักเล็กน้อยอ่านตรงส่วนนี้ อาจจะได้ต่อยอดความคิดของตนเองต่อไปไม่มากก็น้อย โดยส่วนตัวของผมเอง จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้คือ Case Study และ Exercise ที่รวบรวมจากประสบการณ์ของผู้คนในแวดวงวิชาชีพต่าง ๆ (เสียดายไม่มีบรรณารักษ์) ซึ่งผู้เขียนหนังสือใช้ประกอบเป็นตัวอย่างในการอธิบายองค์ประกอบส่วนต่างๆ ของการสร้าง Personal Business Model ได้แก่ หุ้นส่วนหลัก ทรัพยากรหลัก กิจกรรมหลัก คุณค่า/มูลค่าที่มุ่งหวัง ความสัมพันธ์กับลูกค้า/ผู้คนที่แวดล้อมเรา กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ช่องทางการสร้างความสัมพันธ์ ประมาณการต้นทุนที่เกิดขึ้น และผลตอบแทนการลงทุน (เวลา เงิน แรง ฯลฯ) แม้ว่าจะไม่มีตัวอย่างกรณีศึกษาจากอาชีพบรรณารักษ์ แต่ที่พอจะเทียบเคียงได้ก็เช่น เจ้าของบล็อก นักศึกษาปริญญาเอก (ผมทำอาชีพนี้มา 4 ปีที่ Sheffield ;-) บรรณาธิกร ผู้จัดการ นัก IT ครู และหัวหน้าทีม เพราะแม้ว่าเราจะเป็นบรรณารักษ์แต่เราก็มีบทบาท หน้าที่ ความรับผิดชอบหลายอย่างนะครับ |
Archives
October 2015
Categories
All
|