![]() I had an interview for demonstrating my viewpoints with the MCOT news reporter two weeks ago. The discussed topic was about the problem of Bangkokians' book access while our capital city has been nominated by Unesco as the 2006 World Book Capital. There were many interesting issues I wanted to raise, but this TV scoop did not cover all my conversation due to the length of its broadcast. It's a good chance to publish other opinions left behind the scene on my blog. ผู้สื่อข่าวโมเดิร์นไนน์ทีวีได้ขอสัมภาษณ์ความคิดเห็นของผมเกี่ยวกับปัญหาการเข้าถึงหนังสือของคนกรุงเทพฯ (http://www.mcot.net/site/content?id=51066e97150ba0ca5700009b#.UQo2b7-krX5) ซึ่งเป็นสกู๊ปข่าวในช่วงเวลาที่ข่าวคราวการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่ากทม. กำลังเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง โดยใช้เวลาสัมภาษณ์ประมาณ 30 นาที แต่ออกอากาศจริงเพียงแค่ 3 นาทีเท่านั้น ซึ่งประเด็นที่ผมอยากจะสื่อในหัวข้อ "การอ่านหนังสือของคนกรุงเทพฯ กับการเป็นเมืองหนังสือโลก 2556" ไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกไปในรายงานข่าวช่อง 9 เลย อัดอั้นครับอัดอั้น ฉะนั้นขอใช้เนื้อที่บล็อกส่วนตัวนี้ระบายอะไรๆ ที่ไม่ได้ถูกเผยแพร่ในสื่อมวลชน ให้แฟนประจำเว็บไซต์ของผมได้รับทราบกัน คำถามของผู้สื่อข่าวมี 4 ข้อครับ 1) สถิติการอ่านหนังสือของคนกรุงเทพฯ หรือของคนทั้งประเทศ สถานการณ์เป็นอย่างไร 2) รากฐานทางวัฒนธรรมการอ่าน มีผลต่อการพัฒนาการอ่านของคนกทม. อย่างไร การส่งเสริมการอ่านของคนกรุงเทพฯ มีความสำคัญมากน้อยเพียงใด 3) ห้องสมุดประชาชนในกรุงเทพฯ/แหล่งการเข้าถึงหนังสือในปัจจุบัน ตอบโจทย์การเป็นเมืองหนังสือของกรุงเทพฯ หรือไม่ อย่างไร 4) อยากให้เทียบกรณีศึกษากับต่างประเทศ ว่าเมืองที่ประสบความสำเร็จในการเพิ่มอัตราการอ่านของประชากร ว่าเมืองนั้นๆ ดำเนินการอย่างไร สำหรับคำถามข้อที่ 1) - 3) ท่านผู้อ่านลองไปคิดกันเล่นๆ นะครับว่าคำตอบของท่านเป็นอย่างไร แล้วผมจะแชร์ความคิดเห็น "ส่วนตัว" (ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย) ทั้งหมด โดยจะทยอยนำเสนอแต่ละข้อในครั้งต่อๆ ไปครับ
1 Comment
![]() It doesn't matter if my department's name will be changed from Library Science to Information Science/Studies one day. It depends on what we learn, study, teach, research and practise in the future. The suitable thing to do now is to make the next generation recognise that the Department of Library Science Faculty of Arts, Chulalongkorn University, is still a fundamental part of educating competent academics and professionals in the field of Library Science in Thailand. สืบเนื่องจากการเสวนาในงาน "ประจักษ์พระคุณ" ในวาระ 90 ปี ศาสตราจารย์กิตติคุณสุทธิลักษณ์ อำพันวงศ์ เมื่อวันศุกร์ที่ 25 มกราคม 2556 โดยในช่วงเช้าเป็นการเสวนาเรื่อง "ศาสตราจารย์กิตติคุณ สุทธิลักษณ์ อำพันวงศ์ ปูชนียบุคคลแห่งวงการบรรณารักษศาสตร์ไทย" ซึ่งมีศาสตราจารย์จารุวรรณ สินธุโสภณ และรองศาสตราจารย์อัมพร ทีขะระ ให้เกียรติเป็นวิทยากรร่วมเสวนา ตอนช่วงท้ายของกิจกรรมดังกล่าว ท่านอาจารย์จารุวรรณ เอ่ยในทำนองชื่นชมว่า "ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ยังคงรักษา "ที่มา" ของสาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์ ผ่านทางชื่อของภาควิชาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น นั่นคือ ภาควิชาฯ ยังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อเรียกแต่อย่างใด นับตั้งแต่มีการจัดตั้งภาควิชาฯ เกือบ 50 ปีแล้ว (ในปี 2558) สำหรับภาควิชาฯ เอง ประเด็นชื่อเรียกนี้ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกนะครับ เช่น หลักสูตรการเรียนการสอนจะยังมีชื่อ Library Science อยู่หรือไม่ หากไม่มีจะเรียกว่าเป็น Information Science หรือ Information Studies ดี (อย่างหลัง นักวิชาการบางท่านเห็นว่า Studies ไม่ Rigor เท่า Science) จะยังคงใช้ "สารนิเทศ" หรือหันไปใช้ "สารสนเทศ" ซึ่งเป็นที่นิยมมากกว่า และภาควิชาฯ จะยังคงใช้คำว่า "บรรณารักษศาสตร์" อีกต่อไปมั้ย โดยส่วนตัวของผมนั้น จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนชื่อก็คงจะขึ้นอยู่กับ "สิ่งที่เราศึกษา" มากกว่า หากต่อไปในอนาคตจะไม่มีหน่วยงานบริการสารนิเทศที่เรียกว่า "ห้องสมุด" จะไม่มีการเรียนการสอนว่าด้วยการจัดการห้องสมุด หนังสือ และสื่อการอ่าน ไม่มีการส่งนิสิตไปฝึกงานที่ห้องสมุด การติดต่อสัมพันธ์กับคนในวงการวิชาชีพห้องสมุดไม่เหนียวแน่นอีกต่อไป ฯลฯ เมื่อนั้น ชื่อของภาควิชาฯ และชื่อรายวิชาก็คงต้องเปลี่ยนตามไปด้วยครับ เพราะความเปลี่ยนแปลงเป็นสัจธรรมของทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ อาจารย์รุ่นหลังๆ ที่สำเร็จการศึกษาในสาขาที่เรียกว่า "Information" แท้ๆ ก็น่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งครับ ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งชื่อภาควิชาฯ ชื่อหลักสูตร และชื่อรายวิชา วิชาบรรณารักษศาสตร์ ถูกบัญญัติขึ้น หรือเกิดขึ้น เพื่อตอบสนองกับสภาพแวดล้อมและอุตสาหกรรมหนังสือในแบบเดิม (มีสิ่งพิมพ์ มีผู้ "อ่าน" มีห้องสมุดไว้แบ่งปันข้อมูลความรู้ให้ทั่วถึงแก่ประชาชนทุกกลุ่ม) ขณะที่วิชาสารนิเทศศาสตร์/สารนิเทศศึกษา เกิดขึ้นในสภาวะที่ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นไปอย่างก้าวกระโดด และมีอิทธิพลต่อการกำหนดพฤติกรรมผู้ "บริโภค/เสพ/ดู/ฟัง" ข้อมูลข่าวสาร ความรู้สึกของคนในยุคที่เพิ่งจะมีหนังสือในช่วงแรกๆ ของโลก หรือของประเทศ (บังเอิญผมก็เกิดไม่ทัน) ก็คงไม่ต่างไปจากความรู้สึกของคนในยุคปัจจุบันที่พบว่าอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีสารสนเทศมันทำให้เราใช้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างหลากหลาย สะดวก รวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้าหากถึงวันที่ภาควิชาฯ จะต้องเปลี่ยนชื่อกันจริงๆ อย่างน้อยเราก็มีหลักฐานเชิงประวัติว่า ครั้งหนึ่งภาควิชาชื่อ "บรรณารักษศาสตร์" คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เคยหยั่งรากลึกเป็นฐานให้ "สารนิเทศศาสตร์/สารนิเทศศึกษา" ได้เจริญเติบโตงอกงามพร้อมๆ ไปกับพัฒนาการทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี I was invited to give a 3-hour lecture on 'Measurement and evaluation of knowledge management in information organizations.' My presentation was arranged for the masters students in Educational Informatics, Silapakorn University. It took place on 19th January 20013. I made this handout to complete my job, and share it with the general audience reading my Weebly blog. ได้ตอบรับไปบรรยายในหัวข้อ "การวัดและการประเมินการจัดการความรู้ในองค์กรสารสนเทศ" ให้กับนักศึกษาป.โท ในหลักสูตรสนเทศศาสตร์เพื่อการศึกษา ของมหาวิทยาลัยศิลปากร วันที่ 19 ม.ค. 2556 ผมได้ทำเอกสารประกอบคำบรรยายนี้ขึ้นมา และคิดว่าสิ่งที่ผมกลั่นกรองขึ้นมานี้ น่าจะได้ให้สาระความรู้แก่ผู้สนใจในวงกว้างด้วย จึงขออนุญาตแชร์เอกสารดังกล่าวไว้บนบล็อกนี้ด้วย |
Archives
December 2015
Categories
All
|