Crisis Information Management: Communication and TechnologiesHagar, Christine, ed. Crisis Information Management: Communication and Technologies. Oxford: Chandos Publishing, 2012. ISBN: 9781843346470; 197 p. หลายคนคงมีประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม และอาจได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อยจากอุทกภัยเมื่อปี พ.ศ. 2554 ซึ่งวิกฤตการณ์ในครั้งนั้นได้ให้บทเรียนแก่คนไทยในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการวางแผนรับมือกับภัยพิบัติ การเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการแจ้งเตือนภัย การบรรเทาทุกข์ การฟื้นฟูสาธารณูปโภคต่างๆ รวมทั้งการเยียวยาสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ที่ได้รับผลกระทบ เป็นต้น หากยังจำภาพข่าว คลิปเสียง คลิปวีดิโอ ที่ได้รับรู้ผ่านสื่อสารมวลชนและสื่อดิจิทัลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เราก็คงจะจำกันได้ถึงความสับสนวุ่นวาย ณ ช่วงเวลาวิกฤตินั้น ตัวอย่างเช่น เราควรจะเชื่อข้อมูลข่าวสารจากที่มาจากแหล่งสารสนเทศใด (อาทิ สื่อสารมวลชน สื่อสังคม เพื่อนฝูงที่ประสบภัยไปแล้วก่อนเรา) เนื้อหาสารสนเทศอะไรบ้าง (อาทิ แผนที่ ภาพถ่ายดาวเทียม การวิเคราะห์วิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญ) ที่เราต้องใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจเอาตัวรอดจากอุทกภัยในขณะนั้น ตัวอย่างเหล่านี้เมื่อผนวกเข้ากับความตื่นตระหนก และความกังวลใจต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของประชาชนผู้รับสารสนเทศแล้ว แน่นอนว่าเราทุกคนก็คงเห็นภาพและสัมผัสถึงความโกลาหลวุ่นวายในกระแสไหลเวียนของสารสนเทศ (Information flows) ตลอดจนความสับสนที่ผู้รับสารหรือผู้ใช้สารสนเทศประสบในกระบวนการสื่อสารในภาวะวิกฤติ (Crisis communication) ตัวอย่างที่ยกมานี้เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องบูรณาการสารสนเทศจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อใช้ในการอ้างอิงร่วมกันได้อย่างถูกต้องและทันกาล (พูนลาภ ชัชวาลโฆษิต, 2554: 59) หรืออาจกล่าวได้ว่า สิ่งหนึ่งที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับมืออุทกภัยในครั้งนั้นต่างตระหนักเป็นอย่างดีก็คือ การคำนึงถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการบริหารจัดการสารสนเทศในภาวะวิกฤติ (Crisis information management) นั่นเอง
อันที่จริงการศึกษาและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะวิกฤตินั้นเกิดขึ้นมานานแล้วทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพียงแต่ที่ผ่านมานั้นส่วนใหญ่มักค้นคว้าหาคำตอบแบบแยกส่วนโดยผ่านมุมมองของการสื่อสาร การบริหารรัฐกิจ ระบบคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการสื่อสาร และที่ผ่านมาก็ได้มีนักวิจัยและนักวิชาการในสาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ทำการศึกษาภาวะวิกฤติโดยผ่านมุมมองด้านสารสนเทศ (Information perspective) โดยศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้สารสนเทศกลุ่มต่างๆ ทั้งก่อน ขณะเกิด และภายหลังภาวะวิกฤติ อย่างไรก็ดี ในปี ค.ศ. 2006 Hagar (2006) นักวิชาการด้านสารสนเทศชาวอังกฤษนับเป็นผู้บุกเบิกรุ่นแรกๆ ที่ศึกษาการบริหารจัดการสารสนเทศในภาวะวิกฤติด้วยการหลอมรวมวิทยาการที่เกี่ยวข้องเข้ามาไว้ด้วยกัน จนเกิดคำเรียกสาขาวิชาที่เกิดขึ้นใหม่นี้ว่า “Crisis informatics” ด้วยลักษณะของการเป็นสหวิทยาการจึงทำให้สาขาวิชาการบริหารจัดการสารสนเทศในภาวะวิกฤติมีขอบเขตครอบคลุมการศึกษาทั้งกลุ่มคนผู้ใช้สารสนเทศ องค์กร/หน่วยงานสารสนเทศ เนื้อหาของสารสนเทศ และเทคโนโลยีสารสนเทศ อย่างเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว พฤติกรรมส่วนบุคคลรวมทั้งพฤติกรรมทางสังคมของผู้ใช้สารสนเทศในภาวะวิกฤติย่อมส่งผลต่อรูปแบบของเทคโนโลยีที่จะถูกพัฒนาขึ้นต่อไป ในทางกลับกัน เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบันก็นับเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดพฤติกรรมส่วนบุคคลและพฤติกรรมทางสังคมของผู้ใช้สารสนเทศในภาวะวิกฤติเช่นเดียวกัน (Hagar, 2010: 10) สำหรับหนังสือ Crisis Information Management: Communication and Technologies ที่มี Hagar เป็นบรรณาธิการเล่มนี้ ได้ระบุวัตถุประสงค์ของการรวบรวมบทความวิจัยจากผู้เขียนหลายคนว่า เพื่อต้องการให้ผู้อ่านรับทราบและรับรู้ตัวอย่างบางตอนของงานวิจัยที่กำลังดำเนินการอยู่ ณ ขณะนั้น ควบคู่ไปกับตัวอย่างของหลักปฏิบัติที่มาจากกลุ่มบุคคลที่มีส่วนร่วมในการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานและระบบสารสนเทศสำหรับสนับสนุนงานด้านการบริหารจัดการสารสนเทศในภาวะวิกฤติและเหตุฉุกเฉิน (Hagar, 2012: 2) ในส่วนเนื้อหาของบทนำเองนั้น ได้เกริ่นถึงความหมายและขอบเขตของคำว่า “ภาวะวิกฤติ” อย่างสั้นๆ สรุปประเด็นความท้าทายด้านสารสนเทศในยามที่ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤติจำนวน 9 ประเด็น ซึ่งอันที่จริงประเด็นต่างๆ เหล่านี้เคยปรากฏในบทความของ Bulletin of the American Society for Information Science and Technology ที่ตัวบรรณาธิการเองได้ตีพิมพ์เผยแพร่ไปแล้วก่อนหน้านี้เมื่อปี 2010 (Hagar, 2010: 10) ได้แก่
ส่วนเนื้อหาหลักของหนังสือเล่มนี้ก็คือ การรวบรวมบทความวิจัยในสาขาวิชาการบริหารจัดการสารสนเทศในภาวะวิกฤติ จำนวน 10 บทความ โดยมีสาระสำคัญที่น่าสนใจเรียงลำดับตามหมายเลขของบทความดังต่อไปนี้
เมื่อพิจารณาเนื้อหาของบทความวิจัยจำนวนทั้ง 10 บทความที่นำเสนอในหนังสือเล่มนี้แล้ว พบว่า ข้อค้นพบตลอดจนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการบริหารจัดการสารสนเทศในภาวะวิกฤตินั้น มีความหลากหลายและแตกต่างกันอย่างน้อยใน 5 มิติ ซึ่งผู้วิจารณ์ได้พยายามวิเคราะห์ขึ้นมาเองจากการอ่านทั้ง 10 บทความ เนื่องจากหนังสือไม่มีการจัดกลุ่มของบทความไว้ให้ สำหรับมิติทั้ง 5 ด้าน ประกอบด้วย
ข้อจำกัดเดียวของหนังสือเล่มนี้ที่ผู้วิจารณ์พบก็คือ ถึงแม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะมุ่งหวังให้เป็นหนังสือสำหรับใช้ในการเรียนการสอนรายวิชา Crisis informatics และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อนักวิจัย ผู้ปฏิบัติงาน ผู้วางนโยบายในสาขาที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ การจัดการสารสนเทศ ระบบสารสนเทศ การจัดการความรู้ การวางแผนและบริหารจัดการเหตุฉุกเฉิน (Emergency management and planning) องค์กรที่มิใช่ภาครัฐ การจัดการความเสี่ยง การสื่อสาร วิทยาการคอมพิวเตอร์ นักพัฒนาชุมชน สาธารณสุข ฯลฯ ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดทำหนังสือนี้ก็ตาม (Hagar, 2012: 6) แต่หนังสือเล่มนี้กลับมีเพียงบทนำที่ให้ภาพรวมของแต่ละบทความด้วยการย่อใจความสำคัญของงานที่รวบรวมมา และที่สำคัญคือการขาดบทสรุปท้ายเล่มที่เป็นการประมวลความคิดรวบยอด หรือนำเสนอกรอบแนวคิด/ทฤษฎี (Conceptual/theoretical framework) ที่ได้จากการสังเคราะห์ผลงานวิจัยตลอดจนหลักปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการสารสนเทศในภาวะวิกฤติจากทั้ง 10 บทความ สำหรับให้ผู้อ่านใช้เป็นพื้นฐานในการศึกษาสาขาวิชา Crisis informatics ขั้นสูงต่อไป แต่เหตุผลหนึ่งที่หนังสือเล่มนี้ขาดบทสรุปสังเคราะห์ก็อาจคาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นเพราะข้อกำหนดหนังสือที่ตีพิมพ์ในชุด Chandos Information Professional Series ที่ทุกเล่มเน้นให้ผู้อ่านที่เป็นบรรณารักษ์และนักสารสนเทศซึ่งไม่ค่อยมีเวลาอ่านมากนัก ได้ติดตามความคิดร่วมสมัยผ่านงานเขียนที่เรียบเรียงให้อ่านเข้าใจง่าย ครอบคลุมหัวข้อที่สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง มากกว่ามุ่งไปที่เนื้อหาเชิงทฤษฎีก็เป็นได้ แม้จะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่ผู้เขียนบทความทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ก็ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ที่มาจากการศึกษาวิจัยแบ่งปันประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของตนเองสู่ผู้อ่าน โดยความหวังอันสูงสุดของผู้เขียนทุกคนก็น่าจะเป็นการได้เห็นผู้ประสบภัยสามารถผ่านช่วงเวลาอันเลวร้าย และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขหลังผ่านภาวะวิกฤติ สมดังคำกล่าวของ Hagar (2012: 6) ในตอนท้ายของบทนำของหนังสือซึ่งเป็นสิ่งที่ยากจะปฏิเสธว่า: “โลกของเรากำลังเผชิญหน้ากับหายนะภัยเพิ่มมากขึ้น และเราจำเป็นต้องเตรียมพร้อมสำหรับสภาวการณ์ต่างๆ ที่หลากหลาย ทั้งที่คาดการณ์ได้ และคาดการณ์ไม่ได้” รายการอ้างอิง พูนลาภ ชัชวาลโฆษิต. “วิกฤติน้ำท่วม กับการบูรณาการสารสนเทศ.” e-Leader 22, 273 (2554): 54-59. Hager, Chris. “Introduction: Crisis Informatics.” Bulletin of the American Society for Information Science and Technology 36, 5 (2010): 10-12. Hagar, Christine, ed. Crisis Information Management: Communication and Technologies. Oxford: Chandos Publishing, 2012.
0 Comments
Leave a Reply. |
Archives
October 2015
Categories
All
|